อื่นๆ
ฉันหายไปไหน...บ่ายวันพุธ

ฉันหายไปไหน...บ่ายวันพุธ
“เฮ่อ…มันจะอะไรนักหนา” คำอุทานนี้เป็นคำธรรมดาที่ได้ยินกันทุกที่ ทุกระดับ ประทับใจ ไม่ว่าจะล่างสุดไปจนถึงสูงสุดและผู้มีฐานะทุกอันดับ เราจะได้ยินมันไปไม่มีวันสิ้นสุดจนเราจะสิ้นใจ ว่าอย่างนี้ก็ไม่ผิด และเดาไม่ยากว่าคนอุทานคำนี้อยู่ในอารมณ์ไหน ก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกไง ”ผัวะ” คนตอบคำนี้นอนหงายท้องไปแล้ว โทษฐานคิดบวกเกินพอดี สมน้ำหน้า แล้วถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไรเมื่ออยู่ในอารมณ์นี้ ถ้าไม่มากมายใหญ่หลวง หนักหนา ก็ลุย สะสางให้เรียบร้อย แต่...ถ้ามันใหญ่หลวง หนักหนา แก้ไม่เคยจบและมาหาคุณทุกวัน วันละหลายๆรอบเรื่องแล้วเรื่องเล่า คุณจะรับมือมันได้แค่ไหน และซักกี่ครั้งกัน
ภาพโดยผู้เขียน
หนี...หนีไปสุดฟ้า หนีไปจากตรงนั้นซะหรือหายตัวไปไห้รู้แล้วรู้รอดและไปโผล่ที่อื่นให้มันจบๆไป ทะเล ภูเขาหรือที่ไกลๆที่ไม่มีใครตามเจอ ปิดหู ปิดตา อยู่กับความเงียบๆลำพัง ฟังเสียงนก เสียงลม ดูท้องฟ้า ดูเมฆ ดูภูเขา แต่ความจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้นสิและไม่มีทางเป็นไปได้จะหายตัวได้อย่างในหนัง แล้วต้องทำยังไงละถึงจะแก้มันได้ แล้วความสุข ความสงบในสมอง หาได้จากที่ไหน เพราะบางคนไปทะเล ไปภูเขา ไปน้ำตก ความวุ่นวายก็ไม่มีท่าทีว่าจะสงบลง
Advertisement
Advertisement
ภาพโดยผู้เขียน
“ไม่ต้องไปไหน เพราะความวุ่นวายมันเกิดที่สมอง ก็จงดับมันที่สมอง” ได้ยินคำนี้ก็ชวนถอนหายใจใหญ่จนปอดแทบสำลักออกมาทางจมูก “โลกสวยแล้ว นี่คือความจริงไม่ใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ เอาเงินไป10 บาทแล้วไปเล่นกองทราย” เฮ่อ!ไม่ผิดครับคุณได้ยินไม่ผิด สมองส่วนธรรมะโผล่มาเล็กน้อยกระซิบเบาๆวิ่งทะลุเข้าหูสวนทางกับควันทะลวงเข้าไปถึงสมอง

ภาพโดยผู้เขียน
“จงมองขึ้นไปบนฟ้าดูเมฆลอยพริ้วไปกับลม โน่นภูเขาชื่ออะไรไม่สน โน่นนก นกอะไรไม่ต้องรู้ แล้วถนนที่ลาดลงจาเขาเส้นนั้น มันจะไปสิ้นสุดที่ได เรื่องของมัน นั่นคนหัวเราะคงมีความสุข น่าอิจฉาจัง ไม่ต้องอิจฉาหรืออยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นหลับตาลงแล้วอยู่เฉย” ผมสั่งตัวเองหลังจากพาตัวเองออกมาจากปัญหาในบ่ายวันพุธที่แสนโหดร้าย “ปิดหู ปิดตา ปิดสวิตช์ พักก่อนค่อยว่ากันอีกที”นาทีกว่าๆผ่านไปเห็นจะได้ คือความเงียบ ความสงบ สายลมที่พัดโบกอยู่เป็นปกติที่ไม่เคยได้รู้สึกถึงสัมผัสที่เย็นมาก่อน แต่ทำไมมันช่างชื่นใจอย่างนี้ สมองผมล่องลอยเรื่อยไปเบาแบบไม่มีภาระ โล่งแบบไม่มีที่สิ้นสุด ตัวเบาเหมือนไม่มีตัวตน เงียบสงบเหมือนโลกนี้มีแค่ผมคนเดียว
Advertisement
Advertisement
ภาพโดยผู้เขียน
“สูดลมหายใจลึกๆสูดต่อไปอย่างนั้น เฝ้าสัมผัสลมหายใจที่ไหลเข้า-ไหลออก หายใจสั้นให้รู้ว่าหายใจสั้น หายใจยาวให้รู้ว่าหายใจยาว เมื่อสติหลุดจากลมหายใจก็ให้รู้ว่าหลุดแล้วดึงกลับมาทันทีที่รู้ตัว เฝ้าดู เฝ้าดู”เป็นคำพูดที่ผมเคยได้ยินมาจากพระรูปหนึ่ง ผมทำต่อไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าอยากทำอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ขอใครอย่ามาเรียกผมตอนนี้นะ เริ่มเป็นกังวนสมองเริ่มหนัก “เรียก...ก็...เรียก” สมองกลับมาเบาและโล่งอีกครั้ง จนรู้สึกคลาย คลายจนไม่เหลืออะไรในสมอง เหลือแต่ความโล่งแต่ที่ไม่น่าเชื่อคือพลังที่พุ่งขึ้นมายังกะได้รับพลังวิเศษอย่างกะในหนัง เมื่อลืมตาขึ้นมาผมก็ลืมที่จะดูนาฬิกา เฮ่ย... 15 นาทีเองเหรอที่ผมหายไปจากโลกนี้ ทำไมในความรู้สึกเหมือนผมไปไกลแสนไกล ไปนานแสนนาน เหมือนหายไปสักชั่วโมงได้ อะไรกันนี่ความงงเข้ามาถามความสับสน ความไม่รู้คือคำตอบ ทบทวนอยู่สักพัก “อ๋อ ความเงียบ ความสงบ มันอยู่ที่สมองนี่เอง จะปล่อยมันก็สงบ จะคิดมันก็วุ่นวาย ใช่ๆแค่นี้เองเหรอ พอรู้อย่างนี้ผมก็นั่งดูฟ้า ดูเมฆ ดูภูเขา ดูนก ดูคน อย่างสงบแบบไม่เคยมาก่อน
Advertisement
Advertisement
เพราะเมื่อก่อนมัวแต่คิดว่าทำไม ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น เฝ้าถามเพื่อหาตำตอบที่ไม่รู้ว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกต้องที่สุด แล้วถูกที่สุดวันนี้ทำไมสามวันต่อมาถึงไม่ถูกเหมือนสามวันก่อน ก็เพราะคำว่าถูกที่สุด ดีที่สุดไม่มีจริง จะมีได้ก็เพียงชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น เออ...ผลทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุเป็นตัวตั้งและเวลาเป็นตัวหาร ความสุขก็เช่นกัน มองโลกตามจริงเป็นตัวตั้งและเอาเหตุเป็นตัวหารผลลัพธ์เท่ากับความสงบ

ชีวิตที่ยุ่งยากเพราะเราคิดเอาเองว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ คนนั้นต้องเป็นอย่างนี้ คนนี้ต้องเป็นอย่างนั้น เที่ยวกะเกณฑ์ไปทั่ว เรามาทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นจะดีกว่าไหม ด้วยการปล่อยให้ชีวิตมันว่างเมื่อถึงเวลาที่มันต้องว่าง อยู่ที่ทำงานก็เป็นพนักงาน อยู่บ้านก็ควนเป็นสมาชิกของบ้านไม่เอางานกลับมา เป็นหัวหน้าเลิกงานเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เป็นพี่เป็นเพื่อนเป็นน้อง หันมามองโลกตามจริงและสุขตามที่มันเป็น

ภาพโดยผู้เขียน
เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
ความคิดเห็น






