อื่นๆ

ชีวิตนักเรียนชนบท

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ชีวิตนักเรียนชนบท

เรื่องราวชีวิตของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เนื่องจากต่างคนก็ต่างอยู่ต่างที่กัน การเติบโต การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมก็แตกต่างกัน บางคนได้เติบโตในเมืองใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่รอบกาย จะทำอะไรก็ดูง่ายไปหมด แต่บางคนได้เติบโตในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งแม้แต่กระแสไฟฟ้าก็ยังไม่มีใช้

ฉันเกิดมาในครอบครัวหนึ่งในชนบท ตั้งแต่จำความได้ หมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ การใช้ชีวิตในค่ำคืนก็อาศัยแสงไฟจากการก่อฟืน กระทั่งเมื่อความเจริญได้พาระบบสายส่งไฟฟ้าเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็มีไฟฟ้าใช้ เริ่มมีเครื่องใช้ไฟฟ้ามาใช้งาน โดยเฉพาะโทรทัศน์ สมัยนั้นถ้าบ้านใครมีโทรทัศน์ถือว่าเป็นคนมีฐานะดี และเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นของทุกๆคนในหมู่บ้านที่จะได้ชมรายการต่างๆในโทรทัศน์ โดยเฉพาะละคร ผู้คนในหมู่บ้านจะชื่นชอบกันมาก ตอนค่ำหลังข่าว จะหอบลูกจุงหลานไปดูละครกันเต็มบ้าน ทำให้การใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นมีความอบอุ่นกว่าสมัยนี้ที่ต่างคนต่างอยู่ในบ้านของตัวเอง

Advertisement

Advertisement

ทีวีที่ชาวบ้านดูกันในสมัยนั้น

ย้อนไปในวัยเด็ก ฉันมีโอกาสเรียนหนังสือ โดยเหตุการณ์เริ่มต้นจาก คุณอาได้ซื้อชุดนักเรียนให้ ตอนนั้นตื่นเต้นมากที่จะต้องไปเรียนหนังสือ จึงได้พูดกับแม่ว่า พรุ่งนี้จะไปเรียนหนังสือ เช้าวันต่อมาก็ไปโรงเรียนจริงโดยไม่ต้องมีใครคะยั้นคะยอให้ไปแม้แต่นิดเดียว จากจุดเริ่มต้นวันนั้นก็เรียนหนังสือเรื่อยมาจนจบปริญญาตรี

นักเรียนในชั้นเรียนระดับประถมศึกษา

ในระหว่างเรียนประถมจนถึงชั้นมัธยมต้น โรงเรียนอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 8 กิโลเมตร สมัยนั้นยังไม่มียานพาหนะใช้ จึงจำเป็นต้องเดินเท้าไปโรงเรียนเท่ากับในหนึ่งวันต้องเดินเท้าไปเรียนเรียน 16 กิโลเมตร ไม่เพียงเท่านี้ การเดินเท้าเปล่าของฉันเป็นเท้าเปล่าจริงๆ เพราะไม่มีรองเท้าใส่ ทำให้ต้องทนเจ็บเท้าเวลาไปเรียน หลังๆมาความเจริญเริ่มมีมากขึ้น ทำให้ได้ใส่รองเท้า การไปเรียนจึงมีความรู้สึกสบายขึ้นเยอะ แต่ยังต้องเดินเท้าอยู่ดี จนกระทั่งจบ ม.3 จึงได้ย้ายเข้าไปเรียนในเมืองที่เจริญกว่า

Advertisement

Advertisement

การเดินไปเรียนคือความสุขอย่างหนึ่งของเด็ก หากมีคนถามว่าช่วงเวลาไหนมีความสุขที่สุดในระหว่างเรียน ฉันตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า ช่วงเวลาที่เรียน ม.ต้นนี่แหละ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้ว เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรกดดันมาก งานหลักในตอนนั้นมีแค่ทำการบ้าน กิจกรรมส่วนใหญ่ก็จะเป็นกีฬา ซึ่งเป็นอะไรที่ชอบอยู่แล้ว ความประทับใจและความสุขในช่วงเวลานั้นคือ การที่มีช่วงเวลาพักเที่ยง ฉันและเพื่อนๆต้องชวนกันไปเล่นกีฬา โดยเฉพาะเซปักตะกร้อ ต้องมีลงทีมแข่งกันทุกวัน เล่นกันไม่มีเบื่อ ด้วยความชอบและเล่นได้ทุกวันทำให้ได้เป็นตัวแทนแข่งขันกีฬากีฬาเซปักตะกร้อ ทำให้เกิดความภูมิใจต่อตัวเองมาก เพราะมีความรู้สึกว่า การที่นักเรียนได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนนักกีฬาของโรงเรียน มันเป็นอะไรที่เท่ห์มาก ความประทับใจเหล่านี้จะผ่านไปกี่ปีก็ไม่เคยลืมเลือน

กีฬาตะกร้อเป็นที่โปรดปรานในสมัยเรียน

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ฉันก็สามารถศึกษาจนจบปริญญาตรี และมีงานทำ มีเงินเดือนที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ถึงแม้วันเวลาผ่านไปนาน แต่ภาพความทรงจำในวัยเรียนก็ยังคงเห็นภาพชัดเจนเสมอ

Advertisement

Advertisement

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์