อื่นๆ
ตัวหนังสือเดินทาง
.png)
ตัวหนังสือเดินทาง
ตัวหนังสือเข้ามาในชีวิตเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เท่าที่รู้คือตั้งแต่จำความได้ก็มีหนังสืออยู่ในมือ อ่านหนังสือให้อาม่า คนจีนที่อ่านหนังสือไทยไม่ออกฟัง แล้วอาม่าก็ชมว่าเก่งมาก จนแม่เดินเข้ามาทักว่าทำไมลูกอ่านกลับหัว
Cr: https://www.pexels.com/th-th/photo/46274/
ตอนนั้นก็มีตัวหนังสือ…
เริ่มเข้าประถม ในกระเป๋าก็เต็มไปด้วยหนังสือ แต่พิเศษหน่อย ที่พ่อซื้อสมุดเล่มสวยให้ บอกว่าให้เขียนบันทึกทุกวัน หลังจากนั้น...ตัวหนังสือของคนอื่นก็เริ่มกลายมาเป็นตัวหนังสือของเรา ทีละเล็ก ทีละน้อย
ตัวหนังสือที่ระบายความน้อยใจเรื่องเพื่อนแกล้ง ตัวหนังสือที่บันทึกว่าวันนี้ทำการบ้านไม่ทันถูกครูดุ ตัวหนังสือที่บันทึกว่าอาหารเย็นวันนี้แม่ทำอร่อยมาก
ไม่นานตัวหนังสือก็มาอยู่ในสมุดหลายเล่มในห้องนอน คืบคลานเข้าไปกระทั่งตู้เซฟซึ่งไม่มีแก้วแหวนเงินทอง มีแต่สมุดเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่
Advertisement
Advertisement
ในระหว่างที่แนะนำให้ตัวหนังสือเหล่านั้นเป็นของเรา เราก็สำรวจตัวหนังสือของคนอื่นด้วย ช่วงนั้นแข่งกันกับน้อง ใครอ่านเร็วกว่าชนะ เคยจดบันทึกว่า 365 วันอ่านได้กี่เล่ม ตอนนั้นเรียนมัธยม...อ่านได้ 145 เล่ม (ขอให้เข้าใจตรงกันว่าเป็นหนังสือเรียนไม่ถึง 10% หรอกท่านผู้ชม อย่าเพิ่งเดาว่าเราเรียนเก่ง)
แล้วจากตัวหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวทั่วไปในชีวิต ก็กลายเป็นกลอนรักหวานแหว๋ว การเป็นวิมานในอากาศที่เต็มไปด้วยสีสัน กลายเป็นการต่อสู้ดุเดือนเลือดพล่าน กลายเป็นโลกเวทมนตร์สีซีเปีย กลายเป็นโลกอีกใบ… ที่มักจะทำเราหายออกไปจากสังคม
แต่สังคม...มันไม่สนใจว่าเราจะมีตัวหนังสือของเราเองที่นิยามตัวเราเองว่าอย่างไร สังคม...ก็ยังคงยัดเยียดกรอบประเพณีมาให้เหมือนคนอื่น เขียนนิยายขาย เขียนกลอนขาย จะไปอยู่รอดได้อย่างไร… สังคมบังคับให้เรียนสายวิทย์ สังคมบังคับให้เรียนปริญญาด้านวิทยาศาสตร์ สังคมบังคับให้ต่อปริญญาโทเทคโนโลยี ตัวหนังสือกลายเป็นตัวเลข คำบรรยายกลายเป็นตรรกะ มีเหตุ มีผล มีถูก มีผิด ตัวหนังสือกลายเป็นคำว่า แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โลกสีชมพูปุกปุยถูกแทนที่ด้วยเหล็กกล้า… โลกเวทมนต์ถูกทิ่มแทงด้วยการทดลอง
Advertisement
Advertisement
จนเรียนจบ ตัวหนังสือเริ่มไร้ชีวิต กลายเป็นคำสั่งราชการ กฏหมายที่ต้องตีความ กลายเป็นพาดหัวข่าวดาราทะเลาะกัน กลายเป็นถ้อยคำแข็งๆ ที่ไร้หัวใจ…
Cr: https://www.pexels.com/th-th/photo/590493/
3 ปีผ่านไป จับปากกาขึ้นมาจะเขียนกลอนรัก...แต่ตัวหนังสือไม่รักเราอีกแล้ว เพราะเราไม่ได้ดูแลมันเลย…
จนวันนึงเจอพี่เรือรบทางเฟซบุ๊ก เจอคอร์สเขียนเป็นเห็นเงินล้าน เจอบก.ยุทธ และทีมงาน...ตัวหนังสือในตู้เซฟจึงได้ออกมาโลดแล่นอีกครั้ง เหมือนปล่อยของศักดิ์สิทธิ์ เหมือนปล่อยเวทมนตร์ที่กักเก็บอยู่นานปี…
ตอนนี้มีหนังสือเป็นเล่ม แต่ก็ยังขายไม่ได้อยู่ดีเพราะไม่ได้ขายตามร้านหนังสือ คุณพ่อเองก็ยังคงไม่เห็นด้วยนัก ก็เลยก๊อกแก๊กๆ ขายคนรู้จักไปวันๆ อ้างว่าเอาเงินไปทำบุญ
ก็มีเพื่อนบางคนบอกว่าอ่านแล้วสนุกดี บางคนก็ว่ารูปสวยมาก บางคนก็มาขอบคุณที่มีหนังสือให้อ่านแก้เครียดก่อนสอบ แต่เราก็ยังขายหนังสือไม่ได้ แล้วก็มีแค่ไม่ถึง 30% ที่ซื้อไปอ่าน (นอกนั้นคือซื้อเพื่อทำบุญเจ้าค่ะ)
ก็เลยเริ่มรู้สึกว่าสงสัยตัวหนังสือของเรา… คงยังไม่กลับมารักเราละมั้ง...
Advertisement
Advertisement
วันนี้ผ่านมา 6 เดือน มีเพื่อนทักแชทมา
“แก เราอยู่โอซาก้า กำลังจะไปโกเบ ตามรอยหนังสือแกอ่ะ ขอบคุณมากนะ ที่ทำให้เรากล้ามายืนตรงนี้...” (หนังสือเขียนเรื่องการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นในฐานะนักเรียนที่พูดญี่ปุ่นไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว >> คือเรียนภาษาญี่ปุ่น อยู่คนเดียว ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง 1 ปีเต็มๆ ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/KOBEhajimemashite/)
ตอนแรกที่ได้ยินนี่คือตกใจมาก!
คือคุณเพื่อนไปตามรอยข้าน้อยคนเดียว โดยพูดญี่ปุ่นไม่เป็นซักตัวเนียะนะ คือเราผ่านมาไง เรารู้ว่ามันนรกแค่ไหนถ้าหลงทาง หรือเวลาเข้าร้านอาหารที่ไม่มีรูปแล้วดันจิ้มเนื้อม้าดิบมา…
ก็เลยรีบติดต่อเพื่อนที่โน่นให้ กลัวหลง กลัวสั่งข้าวกินไม่ได้…
แต่ผ่านมา 3 วันแล้ว เพื่อนยังคงโพสรูปสวย และที่สำคัญ ทักมาขอบคุณทุกวัน...
ขอบคุณที่ทำให้เรากล้ามา
ขอบคุณที่แนะนำสถานที่ให้
ขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจให้ได้มายืนตรงนี้
เพราะคุ้มสุดๆ เพราะดีต่อใจมากๆ
...ซึ้ง…
วันนี้...ต่อให้หนังสือจะยังเหลือเต็มบ้าน...แต่เราก็รู้ว่าตัวหนังสือของเรา เริ่มทำหน้าที่ของมันแล้ว…
เป็นกำลังใจ...ให้คนที่เดินตามมา ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
Cr: https://www.pexels.com/th-th/photo/2099266/
Cover photo: www.canva.com
ความคิดเห็น






