อื่นๆ

ถอดบทเรียนจากการทำงานที่บ้าน สู่การปรับตัวกับงานในอนาคต

194
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ถอดบทเรียนจากการทำงานที่บ้าน สู่การปรับตัวกับงานในอนาคต

ทำงานมากเกินไป เครียดตลอดเวลา รู้สึกว่าทำอะไรไม่ทัน หากหลายคนเผชิญภาวะแบบนี้ช่วงทำงานที่บ้าน วันนี้ผมมีวิธีการที่จะช่วยผ่อนคลายความยุ่งยากในชีวิตการทำงานที่บ้านและงานในชีวิตจากนี้มาเล่าให้ฟังกันครับ

ก่อนอื่นต้องบอกว่าช่วง COVID ทำให้เราได้ปรับเปลี่ยนตัวเองหลายอย่างและสำหรับคนทำงานออฟฟิตเราได้ย้ายตัวเองมาทำงานที่บ้านสมใจ ไม่ต้องฝ่ารถติดหรือต้องรีบไปตอกบัตร ส่วนตัวช่วงเช้าผมสามารถเดินชมสวนตัดหญ้า รดน้ำต้นไม้ และตอนเย็นก็วิ่งในสวนลำไยหลังบ้านพร้อมกับปลูกพืชผักเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นต้นทุนในชีวิต แต่แน่นอนว่าผลกระทบที่ตามมาก็คือรู้สึกว่าทำงานเยอะมากขึ้นจนบางจังหวะรู้สึกว่าเยอะเกินไปเครียดมากเกินไปบางครั้งรู้สึกบ้าบอไปก็มี ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากสาเหตุหลัก ๆ เพราะเราอยู่ตามลำพังและเราหมกมุ่นกับงานมากเกินไป

Advertisement

Advertisement

หลังจากนั่งทบทวนและผ่านจุดคับขันของความคิดมาได้ผมจึงค่อย ๆ สรุปเป็นบทเรียนมา 4 - 5 ข้อดังนี้ครับ

1. อย่าทำงานหนักมากเกินไป

2. ไม่ตอบตกลงตลอดเวลา

3. หยุดความสมบูรณ์แบบในตัวเอง

4. เลิกใช้ความคิดและเริ่มใช้ข้อมูล

5. ผ่อนปรนและปล่อยวาง

11. อย่าทำงานหนักมากเกินไป - จากการวิจัยหลายเรื่อง ทั้งการทำงานและการเรียนชี้ตรงกันว่า การทำสิ่งใดต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานเกินไปย่อมสงผลต่อประสิทธิภาพจาก 100% ตอนเริ่มต้นจะค่อยๆตกลงเป็น 80% 40% และ 20% โดยเปรียบเทียบจากความรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่ Focus กับสิ่งที่ทำ วิธีแก้ไขที่มักได้รับความนิยมสูงสุดคือการแบ่งเวลาออกเป็นส่วนย่อย  เรียกหลักการนี้ว่า 45/15 คือ ทำงานหรือเรียน 45 นาที และจากนั้นก็พัก 15 นาที ซึ่งจะเห็นว่าในโรงเรียนมักแบ่งกิจกรรมการเรียนเป็นคาบเพื่อให้เราได้เรียนรู้ในช่วงเวลาที่พอเหมาะและพักในจังหวะที่สมองเริ่มล้า แล้วหลังจากนั้นจึงกลับมาสู่การเรียนอีกครั้งหนึ่ง

Advertisement

Advertisement

ผมเองเริ่มนำวิธีการนี้มาใช้อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ตัวเองหมกมุ่นกับหน้าคอมพิวเตอร์มากเกินไปในแต่ละวัน และลุกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ บ้าง เช่น เดินชมสวนผักที่ปลูกไว้ แวะดูต้นไม้ใบหญ้า ทักทายกับผู้คนในบ้านหรือไม่ก็ออกไปข้างนอกผ่อนคลายความรู้สึกคล้าย ๆ กับช่วงที่เราทำงานออฟฟิตครับ

2

2. ไม่ตอบตกลงตลอดเวลา - จริงๆแล้วเรื่องนี้ค่อนข้างยากมากสำหรับการทำงานยุคที่ไม่เห็นหน้า เจ้านาย หัวหน้า แท้จริงเขามีหน้าที่จะต้องผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอแต่ถ้าไปต่อไม่ไหวก็ต้องพอ หลายครั้งที่เราคิดว่าเราต้องทำให้ได้ต้องไปต่อให้ได้มันอาจเป็นการดีที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้าแต่การก้าวไปบนความไม่พร้อมมันสร้างรอยแผลสะสมให้เราตลอดทางที่เราเดิน การปฏิเสธบ้าง หรืออาจเรียกว่าหัดแพ้ให้เป็นก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกรียดอะไรในยุคนี้ ยุคที่งานมีมากมายและหากเราไม่ได้ทำงานนี้อย่างไรเสียก็ต้องมีใครสักคนที่เขาเก่งด้านนั้น ๆ รอทำงานนี้อยู่

Advertisement

Advertisement

แต่สิ่งสำคัญคือเราเองก็ต้องเชี่ยวชาญในงานที่เราครองนะครับ เพราะหากไม่เลือกที่จะปฏิเสธงานก็จะยุ่งและกองเต็มตัว แต่หากปฏิเสธไปเสียทุกอย่างคุณค่าของเราก็จะลดน้อยลงไปทุกขณะ จังหวะหนึ่งที่ผมไม่ไหวกับงานผมก็บอกหัวหน้าไปตรง ๆ  ยอมรับในความพ่ายแพ้ยอมรับในความไม่รู้ของตัวเอง แน่นอนครับว่ามันไม่ง่ายเลย และการต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราคาดไม่ถึงก็ต้องเกิด แต่อาจเป็นความโชคดีที่หัวหน้า ให้อภัยและปรับวิธีบริหารให้เราก้าวหน้าอนุญาตให้เราพักไปช่วงหนึ่งและเมื่อพร้อมจึงกลับมาลุยกันใหม่เลยทำให้ชีวิตไปต่อได้ครับ

33. หยุดความสมบูรณ์แบบในตัวเอง - การทำงานให้ดีเลิศคงเป็นเป้าหมายของคนทำงานทุกคนแต่จะดีกว่าไหมถ้างานนั้นสามารถออกสู่สายตาของผู้คนได้ทันเวลา  หลายครั้งที่งานชั้นยอดไม่ออกสู่สายตาของผู้คนเพียงเพราะมันยังไม่ดีพอและสุดท้ายก็เห็นงานนั้น งานที่ใกล้เคียงกันแบบเงาสะท้อนจากกระจกถูกผลิตออกมาแซงหน้าเราไปแบบไม่เห็นฝุ่น มันไม่ใช่ความผิดเราหรอกครับแต่มันเป็นความสมบูรณ์แบบมากเกินไป แน่นอนงานชิ้นเยี่ยมมักเป็นที่จดจำและมีมูลค่าอันประมาณมิได้ แต่อย่าให้งานนั้นโด่งดังหลังชีวิตของเราเลย โลกยุคนี้เป็นโลกของความไวและความพร้อมที่มาคู่กัน เนื้อหาต่างๆหากปล่อยให้เก่าเกินไปกาลเวลาก็จะคร่ามันให้หายไปจากการรับรู้ การบริหารความสมบูรณ์แบบจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ผมไม่ได้ชวนให้ลดมาตรฐานของแต่ละท่านลงมานะครับ แต่ผมอยากชวนให้เห็นว่างานบางอย่างบางครั้งเมื่อได้เวลาก็ต้องส่งต้องปล่อย ประสบการณ์ของผมคืองานเขียนนั่นแหละหลายครั้งรู้ดีว่ามันยังมีจุดที่ผิดพลาดบกพร่องในลักษณะไม่ได้ดังใจ เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ มันน่าจะมีจุดอื่นที่เติมเต็มกว่า แต่แน่นอนหละงานรอไม่ได้ผมก็รอไม่ได้เช่นกัน ผมเลือกที่จะปล่อยงานนั้นออกมาในมุมที่ดีที่สุด แต่อาจไม่ใช่มุมที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะจริงๆแล้วคำว่าสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงความสมบูรณ์แบบในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และหากเราดองงานของเรากองไว้และไม่ยอมปล่อยมัน เราก็จะรู้สึกว่างานเราไม่ไปถึงไหนเสียที

44. เลิกใช้ความคิดและเริ่มใช้ข้อมูล - อารมณ์เป็นเหตุผลข้อหนึ่งของมนุษย์ แต่จงอย่าใช้อารมณ์ในทุกเรื่อง จงใช้มันอย่างสมดุล ส่วนตัวผมเองเป็นมนุษย์อารมณ์ครับ อยู่บนความคิดและความรู้สึกบางเรื่องก็ถูกต้องบางเรื่องก็ผิดพลาด แต่บทเรียนจากการได้ทำงานวิจัยพบว่ามันมีวิธีการที่ทำให้ความรู้สึกกลายเป็นข้อมูลได้หลากหลายวิธีงานวิจัยช่วยตอบโจทย์ด้านนี้ ผมเองแม้บางจังหวะจะเครียดกับงานที่ไม่คุ้นเคยแต่ก็ยอมรับว่ามีความสนุกแบบบ้าบิ่นปนอยู่ ผมได้เขียนได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองผ่านตัวอักษรที่มักโดนติงเรื่องคำผิด และความฟรุ้งฟริ้ง เว่นเวอร์ มากมาย แต่งานวิจัยทำให้ผมกลั่นสิ่งเหล่านี้เป็นผลึกเป็นตะกอนความคิดเพื่อให้เราไปต่อได้

หลายครั้งที่เรามักตัดสินใจบนฐานความคิดความรู้สึกทำให้เกิดความสำเร็จหรือล้มเหลว บทเรียนเหล่านั้นมันเป็นทักษะที่ส่งต่อกันไม่ได้ คล้ายกับการทำอาหารที่หากเราบอกสัดส่วนไม่ได้เราก็ไม่สามารถส่งต่อเคล็ดลับความอร่อยได้เลย  การใช้ข้อมูลเป็นการเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้  แน่นอนครับมันไม่ทำให้เราเป็นเชฟชั้นยอดแต่มันเป็นลายแทงที่ทำให้เราเข้าใกล้ความเป็นเลิศในรสชาด การหมกมุ่นกับงานทุกวันนั่งหน้าจอทั้งวันและเราก็บ่นตลอดทุกวันว่าไม่ได้งานเลยแต่หากเราลองเอาข้อมูลจับใส่ตารางและดูว่าเวลาไหนเราทำงานเวลาไหนเราพักเราก็จะพบว่าจริงๆแล้วเราทำงานมากไปหรือเอาเวลางานที่ว่าไปทำอะไรที่ไม่ใช่งาน หรือเปล่า

5

5. ผ่อนปรนและปล่อยวาง - เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายในหลายๆสิ่งซึ่งเราต้องเผชิญหน้ากับมัน ไม่ว่าจะอย่างไรงานหลักที่ทำจะสำเร็จหรือล้มเหลว บทความที่เขียนไปจะผ่านหรือไม่สิ่งที่ควรตั้งรับกับมันคือความปล่อยวางและให้ทุกอย่างผ่านไป ไม่มีสิ่งใดที่สำเร็จได้ดังใจทุกเรื่อง การผ่อนปรนกับผลที่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีความสำเร็จใดคงที่และไม่มีความล้มเหลวใดเป็นนิรันดร์ทุกอย่างมีขึ้นมีลง เราแพ้วันนี้วันหน้าเราก็อาจชนะหรือเราชนะวันนี้วันต่อไปเราอาจพ่ายแพ้ ฉะนั้นไม่มีสิ่งใดแน่นอนสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือการปรับตัวพร้อมกับทุกเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับเราและผ่านมันไปให้ได้มากกว่า

ทั้งหมดเป็นเหมือนหลักคิดที่ทำให้ผมก้าวข้ามช่วงเวลาระหว่างที่เราทำงานลำพังในบ้านหลังเล็กๆ หรือการวางแผนสำหรับงานใหญ่ที่อาจเข้ามาหาในเวลาต่อจากนี้ไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม การทำงานเปลี่ยนไประบบการจัดการของโลกเริ่มซับซ้อนมากขึ้นการทำงานที่ไหนก็ได้เข้ามามีส่วนทำให้เราสะดวกมากขึ้นแต่ในทิศทางเดียวกัน เราก็ต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจงอยู่กับมันอย่างเท่าทันนะครับ และเราจะประสบความสำเร็จในทุกงานที่เราครองจากนี้และตลอดไป

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์