อื่นๆ

ถ่ายภาพงานวิ่ง เส้นทางสู่ช่างภาพสายกีฬา ตอนที่ 2

1.6k
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ถ่ายภาพงานวิ่ง เส้นทางสู่ช่างภาพสายกีฬา ตอนที่ 2

จากบทความ ถ่ายภาพงานวิ่ง เส้นทางสู่ช่างภาพสายกีฬา ตอนที่ 1 (สามารถอ่านบทความได้ที่ : https://intrend.trueid.net/post/271451) ซึ่งได้กล่าวถึงขึ้นตอนต่าง ๆ ที่ช่างภาพต้องปฏิบัติในการขอเข้าร่วมถ่ายภาพในงานวิ่งต่าง ๆ ตลอดจนวิธีการทำงาน ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานวิ่ง วันจัดงาน และภายหลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขัน ซึ่งได้เขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเอง ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นช่างภาพงานวิ่งในช่วงระยะเวลา 2-3 ปี ที่ผ่านมานี้ ซึ่งบทความนี้ ผู้เขียนถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรง ซึ่งอาจจะไม่เป็นไปตามหลักของการถ่ายภาพเท่าไหร่นัก โดยกล้องถ่ายภาพที่ผู้เขียนใช้ เป็นเพียงกล้องตัวคูณรุ่นเล็ก (Canon EOS-200D Mark II) สำหรับมือใหม่ ซึ่งถ้าหากเป็นกล้องระดับ Pro หรือ Semi Pro การปรับตั้งค่าต่าง ๆ จะสามารถทำได้ละเอียดมากขึ้น และช่างภาพจะทำงานได้ง่ายขึ้นครับ

Advertisement

Advertisement

สำหรับการถ่ายภาพงานวิ่ง หากเป็นช่างภาพที่มีประสบการณ์จากการถ่ายภาพมาซักระยะหนึ่ง เพียงคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถลุยถ่ายภาพได้ทันที แต่ถ้าเป็นช่างภาพมือใหม่หล่ะ...ที่ยังมีประสบการณ์ไม่เยอะ ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการถ่ายภาพนิ่ง จากวัตถุที่เคลื่อนไหว ก็อาจจะไม่สามารถถ่ายภาพในลักษณะดังกล่าวได้ สำหรับบทความนี้ จะกล่าวถึงการทำงานของช่างภาพในวันแข่งขัน เกี่ยวกับการตั้งค่ากล้อง และเทคนิคพื้นฐาน สำหรับการถ่ายภาพแนว Sport Action ที่เหมาะสำหรับช่างภาพมือใหม่ แต่ก่อนจะไปพูดถึงในเรื่องของการตั้งค่ากล้อง จะขอกล่าวถึงพื้นฐานของการถ่ายภาพพอเป็นสังเขปนะครับ ไม่ได้ลงรายละเอียดแบบลึกๆ ในแต่ละส่วน ว่ามีองค์ประกอบหลัก ๆ อะไรบ้าง เผื่อว่า มีผู้ที่สนใจในการถ่ายภาพผ่านเข้ามาอ่านบทความนี้ จะได้นำไปเป็นความรู้ และฝึกฝนกันต่อไปครับ

Advertisement

Advertisement

พื้นฐานการถ่ายภาพ
1.กล้อง ในบทความนี้ จะขอกล่าวถึงกล้องถ่ายภาพดิจิตอล ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนะครับ ซึ่งกล้องถ่ายภาพดิจิตอลที่ช่างภาพใช้งานกันอยู่ตอนนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- กล้อง Digital Single Lens Reflex : DSLR เป็นกล้องที่มีโครงสร้างเหมือนกับกล้องฟิล์ม  กล่าวคือ ภาพจากเลนส์ จะตกกระทบที่แผ่นกระจกสะท้อน เพื่อสะท้อนภาพไปยังช่องมองภาพ ภาพที่เห็นที่ช่องมองภาพ คือภาพที่มองเห็นจริงในขณะนั้น เวลาที่เรากดชัตเตอร์ กระจกนี้ จะถูกกลไกทำให้ยกขึ้น พร้อมกันกับที่ม่านชัตเตอร์เปิดขึ้น แสงที่ผ่านเลนส์ จะตกกระทบที่เซนเซอร์รับภาพ เซนเซอร์จะอ่านค่าแสง แล้วประมวลผลออกมาในรูปแบบของไฟล์ภาพดิจิตอล กล้องประเภทนี้ จะเรียกกันแบบเข้าใจง่าย ๆ คือ กล้องกระจก
- กล้อง Mirrorless คือกล้องดิจิตอล ที่พัฒนาต่อมาจาก DSLR นั่นคือ กล้องที่ไม่มีกระจกสะท้อน โดยในบางรุ่น ภาพที่ได้จากเลนส์ จะแสดงผลที่จอ LCD โดยตรง (ไม่มีช่องมองภาพ) หรือในบางรุ่นมีช่องมองภาพ ซึ่งเป็นช่องมองภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับคุณสมบัติของกล้องแต่ละชนิด ผู้เขียนไม่ขอกล่าวถึงนะครับ เนื่องจากมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แยกเป็นแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ทาง Social Media ทั่ว ๆ ไป
2. องค์ประกอบพื้นฐานของการถ่ายภาพ การที่จะได้ภาพถ่ายออกมา 1ภาพ ต้องมีองค์ประกอบดังนี้ครับ
- ค่าความไวแสง (ISO) ค่าความไวแสง เป็นค่าที่บ่งบอกว่า เซนเซอร์รับภาพมีความไวต่อการรับแสงมากน้อยเพียงใด เช่น ISO:100, ISO:6400 เป็นต้น โดยในการตั้งค่ากล้อง ตัวเลขค่า ISO ต่ำ คือ ค่าความไวแสงต่ำ โดยจะใช้ค่า ISO ต่ำ ๆ ในกรณีที่สภาพแสงปกติ หรือการถ่ายภาพกลางแจ้ง หรือจุดที่มีแสงเพียงพอต่อการถ่ายภาพ ซึ่งภาพที่ได้จากค่า ISO ต่ำจะมีคุณภาพสูง และไม่มีสัญญาณรบกวนในภาพ (Noise) และหากค่า ISO สูง ๆ จะมีค่าความไวแสงสูง เหมาะสำหรับการถ่ายภาพในที่สภาพแสงน้อย แต่ก็แลกมาด้วยสัญญาณรบกวนในภาพที่สูงขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่ากล้องแต่ละยี่ห้อ สามารถจัดการ Noise เหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด
- ค่ารูรับแสง (aperture) หรือค่า F number เป็นค่าที่บอกขนาดของรูรับแสงที่เปิดรับแสงของเลนส์ โดยค่า F ต่ำ จะหมายถึง รูรับแสงกว้าง แสงสามารถผ่านเข้าไปยังเซนเซอร์ได้มาก ภาพที่ได้จะเป็นภาพชัดตื้น นั่นคือ ภาพจะชัดในระนาบโฟกัส แต่ถ้านอกระนาบโฟกัส จะเบลอ หรือเรียกกันแบบที่รู้จักกันดี คือ "หน้าชัดหลังเบลอ" แต่ถ้าค่า F สูง จะหมายถึง รูรับแสงแคบ แสงสามารถผ่านเข้าไปยังเซนเซอร์ได้น้อย ภาพที่ได้จะชัดทั้งภาพ หรือเรียกว่า ภาพชัดลึก
- ค่าความเร็วชัตเตอร์ (shutter speed) มักจะใช้อักษร ss เป็นสัญลักษณ์ ความเร็วชัตเตอร์ คือ ความเร็วที่ม่านชัตเตอร์เปิดขึ้นเพื่อให้เซนเซอร์รับแสง มีหน่วยเป็นวินาที เช่น 3s, 5s, 1/25s, 1/100s, 1/250s, 1/1000s เป็นต้น กล่าวคือ ถ้าความเร็วในการเปิดม่านชัตเตอร์ช้า หรือ ชัตเตอร์ต่ำ ชัตเตอร์จะเปิดนาน เซนเซอร์จะได้รับแสงมาก เหมาะสำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย หรือการดีไซน์ภาพของช่างภาพ เช่น ภาพที่ต้องการเส้นแสงของไฟที่เคลื่อนที่ และถ้าในความเร็วในการเปิดม่านชัตเตอร์เร็ว หรือ ชัตเตอร์สูง ม่านชัตเตอร์จะเปิดน้อย หรือ เปิดแป้บเดียว เซนเซอร์จะได้รับแสงน้อย เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่อยู่ในสภาพแสงมาก หรือ แบบมีการเคลื่อนไหว การใช้ความเร็วชัตเตอร์สูง จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวนั้นได้ สำหรับในบทความนี้ เป็นการถ่ายภาพที่แบบมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ดังนั้น ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูง เพื่อที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของแบบนั้นได้

Advertisement

Advertisement

ภาพวิ่งงานต่าง ๆ

การถ่ายภาพงานวิ่ง
ผู้เขียน ขอเข้าประเด็นในเรื่องของพื้นฐานต่าง ๆ ในการถ่ายภาพไปเลยนะครับ สำหรับการถ่ายภาพงานวิ่ง หากท่านผู้อ่านได้ศึกษา และทำความเข้าใจในบทความตอนที่ 1 แล้ว ในการเข้าถ่ายภาพงานวิ่ง สิ่งที่สำคัญคือ
1. Location หรือ Background ที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ หรือ เป็นเอกลักษณ์ของงาน
2. จังหวะที่เหมาะสม การเคลื่อนไหว ท่าทาง สีหน้าของนักวิ่ง เป็นสิ่งสำคัญที่จะมีส่วนให้นักวิ่งเกิดความสนใจ และซื้อภาพจากเรา
3. การจัดองค์ประกอบภาพ โดยการถ่ายภาพงานวิ่ง ช่างภาพจะนิยมถ่ายภาพในมุมต่ำ หรือมักเรียกติดปากกันว่า ถ่ายแบบเสยขึ้น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แบบ ดูมีสัดส่วนที่ดูเพรียว และทำให้ภาพถ่ายดูน่าสนใจ ซึ่งช่างภาพบางท่าน อาจลงทุนด้วยการถึงกับนอนราบกับพื้นไปเลยทีเดียวครับ

มุมเสยๆการถ่ายภาพงานวิ่ง จะนิยมถ่ายภาพมุมต่ำ อาจจะนั่งกับพื้น หรือ นั่งเก้าอี้ต่ำ ๆ ตามการดีไซน์ผลงานครับ

วิ่งเก๊ายางบางทีช่างภาพ ก็ต้องหลบมุมเลยครับ ภาพนี้ หลบข้างต้นยางใหญ่


4. การตั้งค่ากล้อง สำหรับผู้เขียนในการเข้าร่วมถ่ายภาพงานวิ่งงานแรก (หรือสำหรับช่างภาพมือใหม่) จะเลือกใช้ Mode TV (Nikon Mode S) ตั้งค่าต่าง ๆ ดังนี้ 
        - ความเร็วชัตเตอร์ไว้ที่ 1/400s
        - ค่ารูรับแสงแคบที่สุดของเลนส์ คือ ค่า F2.8 (เลนส์ที่ใช้ EF 70 - 200 F2.8L IS iii)
        - ค่า ISO และ White Balance แบบ Auto
        - เลือกใช้การวัดแสงแบบจุด วัดแสงที่จุดกึ่งกลางภาพ
        - ระบบโฟกัส AI-Servo (Nikon AF-C) 
        - ถ่ายภาพต่อเนื่อง แบบ JPEG size L
      ซึ่งการถ่ายภาพในลักษณะงานแบบนี้ ช่างภาพ ต้องพยายามให้เป็นการ "จบหลังกล้อง" ให้มากที่สุดครับ เนื่องจาก ในงาน ๆ นึง ภาพที่ได้จะมีประมาณ 1,000 ภาพขึ้นไป บางงานเกือบ 5,000 ภาพ ขึ้นอยู่กับจำนวนของนักวิ่ง หรือ รุ่นของการวิ่ง เพราะภายหลังจากเสร็จงานแล้ว ช่างภาพต้องมาคัดภาพที่หลุดโฟกัส หรือมองไม่เห็นหน้านักวิ่ง หรือภาพที่ไม่สวยออก และอัพโหลดลงระบบ Platform ขายภาพต่าง ๆ หรือหน้าเพจของตนเอง ให้รวดที่สุด เพื่อโอกาสในการได้ขายภาพก่อนช่างภาพท่านอื่น ๆ ซึ่งหากต้องมาปรับแต่งภาพทีละภาพ ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะสามารถนำภาพลงระบบได้ นักวิ่งก็อาจจะถูกใจเลือกซื้อรูปภาพจากช่างภาพท่านอื่น ๆ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 
       สำหรับการตั้งค่ากล้องของผู้เขียนในปัจจุบัน ใช้ Mode M ตั้งค่าดังนี้
        - ความเร็วชัตเตอร์ไว้ที่ 1/250s ถึง 1/1000s ขึ้นอยู่กับสภาพแสง
        - ค่ารูรับแสงแคบที่สุดของเลนส์ คือ ค่า F2.8 (เลนส์ที่ใช้ EF 70 - 200 F2.8L USM บางงาน ใช้ EF-S 17-55 F2.8 IS USM)
        - ค่า ISO ตามสภาพแสง
        - ค่า White Balance แบบกำหนดเอง 
        - เลือกใช้การวัดแสงแบบจุด วัดแสงที่จุดกึ่งกลางภาพ
        - ระบบโฟกัส AI-Servo (Nikon AF-C) 
        - ถ่ายภาพต่อเนื่อง แบบ JPEG size L
        - ปิดการแสดงภาพ หลังถ่ายภาพ

การตั้งค่ากล้อง

การถ่ายภาพ
1. เมื่อช่างภาพไปถึงจุดที่ตนเองได้เลือกไว้แล้ว ให้จัดเตรียมอุปกรณ์ เช่น ไฟแสงสว่าง/แฟลช (ถ้ามี) ป้ายบอกชื่อเพจ (ถ้ามี) กล้อง เลนส์ แบตเตอรี่ การ์ดความจำ ขาตั้งกล้อง ให้พร้อม เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ให้ทดสอบการถ่ายภาพดูว่ามุมภาพได้ตามที่ช่างภาพต้องการหรือไม่ ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับ ขยับไฟ หรือแม้แต่จุดที่ช่างภาพนั่งถ่ายภาพ หากอยู่ในลักษณะที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ ช่างภาพต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของอุปกรณ์ป้องกันให้พร้อม สำหรับการตั้งไฟแสงสว่าง แฟลช หรือแม้แต่จุดที่ช่างภาพนั่งถ่ายภาพ ต้องไม่กีดขวางเส้นทางการ หรือช่องทางการวิ่ง หรือช่องทางการจราจร และแสงสว่าง หรือแสงแฟลช ต้องไม่รบกวนสายตานักวิ่ง เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดกับนักวิ่ง ช่างภาพ หรือประชาชนที่ใช้เส้นทางสัญจรไปมาได้
2. คอยสังเกตุเส้นทางวิ่ง ซึ่งปกติ ทางผู้จัดจะมีรถนำขบวนนักกีฬา พร้อมสัญญาณไฟวาบวับ แล้วตามด้วยนักวิ่งคนแรกที่จะวิ่งผ่านมา ถ้าสังเกตุเห็นได้ในระยะไกล ให้ช่างภาพจัดท่าทางการถ่ายภาพของช่างภาพให้เหมาะสม พอดี สบาย ๆ ในการ "รัวชัตเตอร์" ครับ เพราะหลังจากนี้ นั่กวิ่ง จะวิ่งมาแทบจะพร้อม ๆ กัน ซึ่งมีทั้งที่ วิ่งมาเป็นกลุ่ม หรือ มาทีละคน
3. เมื่อนักวิ่งใกล้ถึงจุดที่ต้องการ ให้ช่างภาพมองที่ช่องมองภาพ เพื่อจะเตรียมวัดแสงและโฟกัสภาพ ตลอดจนจัดองค์ประกอบภาพ เมื่อนักวิ่งเริ่มเข้ามาในเฟรม ให้ทำการโฟกัส และวัดแสง (ซึ่งผู้เขียนจะเลือกใช้จุดโฟกัส ที่จุดกึ่งกลางภาพ เนื่องจากกล้องที่ใช้ จุดกึ่งกลางเป็นจุดโฟกัสที่ดีที่สุด)  ด้วยการกดปุ่มชัตเตอร์ไว้ครึ่งหนึ่งค้างไว้ ผู้เขียนจะโฟกัสไปที่ช่วงลำตัวของนักวิ่ง หรือหมายเลข BIB สังเกตุได้จากแสงกระพริบสีแดงในจุดที่เราเลือกตำแหน่งโฟกัสไว้ และเมื่อนักวิ่ง เข้ามาในเฟรม และองค์ประกอบภาพได้ตามต้องการแล้ว ก็ลั่นชัตเตอร์รัวได้ตามต้องการ และตามสเป็คของกล้อง
4. เมื่อถ่ายภาพนักวิ่งคนแรกผ่านไป ช่างภาพต้อง pan กล้องไปรอเตรียมพร้อมเพื่อโฟกัส และวัดแสงจากนักวิ่งคนต่อไปในทันที และกรณีนักวิ่งมาลักษณะเป็นกลุ่ม ช่างภาพต้องตัดสินใจว่าจะถ่ายภาพนักวิ่งท่านใด และอาจจะมองเลยเข้าไปในเฟรมภาพ ซึ่งอาจจะมองเห็นว่ามีนักวิ่งท่านต่อไปที่น่าจะเข้ามาในเฟรมภาพของเรา ซึ่งเราสามารถถ่ายภาพนักวิ่งท่านต่อไปได้ในทันที ซึ่งในระหว่างถ่ายภาพ หากใช้ Mode M ช่างภาพต้องสังเกตุสเกลวัดแสงให้ดีครับ เพราะการวิ่ง จะปล่อยตัวตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งแสงน้อย เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น จะมีแสงธรรมชาติสาดส่องเข้ามา ทำให้ช่างภาพต้องปรับค่าต่าง ๆ ไปพร้อมกันตามสภาพแสง
*คำแนะนำสำหรับมือใหม่ : ให้ทำความคุ้นเคยกับปุ่มต่าง ๆ ของกล้องให้ดี ฝึกอ่านค่าต่าง ๆ ที่แสดงในช่องมองภาพ พร้อมการปรับตั้งค่าต่าง ๆ ขณะที่วัดแสง จะช่วยให้การทำงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ได้การตั้งค่าที่เหมาะสมตามที่ต้องการ

การโฟกัส และวัดแสงภาพนี้ แสดงให้เห็นถึงการโฟกัส และวัดแสงของกล้อง เมื่อใช้การโฟกัสแบบต่อเนื่อง โดยให้สังเกตุแสงสีแดง (ในกล้องแสงนี้จะกระพริบ) ที่จุดโฟกัสกึ่งกลาง ที่จะกระพริบตามแบบที่เคลื่อนที่ (ตัวอย่างช่องมองภาพจากกล้องที่ผู้เขียนใช้ถ่ายภาพงานวิ่ง คือ canon EOS 200Dii)


5. บางช่วงเวลา ที่มีช่วงห่างกันของนักวิ่ง ช่างภาพสามารถย้อนกลับไปดูภาพที่ถ่ายไว้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการถ่ายภาพต่อไปได้ครับผม

ภาพตัวอย่าง แสดงให้เห็นถึงการตั้งค่าพื้นฐานในการถ่ายภาพครับ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพแสงครับ

วิ่ง กต.ตร. หางดง ลดฝุ่นควันภาพแรก เป็นการถ่ายภาพงานวิ่งงานแรกในชีวิต กับงานวิ่ง กต.ตร หางดงรณรงค์ลดฝุ่นควัน เป็นงานแรก ที่ลองผิดลองถูกในการปรับค่าต่าง ๆ ในภาพ ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/1000 วินาที ค่ารูรับแสง F2.8 ค่าความไวแสง ISO800 

เมืองไทยเชียงใหม่มาราธอนภาพที่สอง เป็นภาพที่ถ่ายในงานเมืองไทยเชียงใหม่มาราธอน 2021 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2564 ภาพนี้ ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/800 วินาที ค่ารูรับแสง F2.8 ค่าความไวแสง ISO 400 งานนี้เป็นงานที่ถ่ายภาพมาได้มากที่สุด ประมาณ 3,000 กว่าภาพ ผู้เขียนไปประจำจุดถ่ายภาพบริเวณคูเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่เที่ยงคืน พอถ่ายภาพครบทั้ง 3 รุ่นแล้ว ก็ย้ายจุดมาปักหลักบริเวณเส้นชัย ใช้การ์ดความจำ 32GB ไป 2 ใบ ถ่ายภาพเสร็จประมาณ 08.30 น. กลับถึงที่บ้าน นั่งคัดรูปแบบคัดไปหลับไป กว่าจะลงระบบครบเกือบบ่าย 3 ครับ

charming chiangmai ภาพจากงานวิ่ง Charming Chiang mai Flower Festval Run 2022 งานวิ่งเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์งานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ประจำปี 2565 งานนี้ โดนฝนถล่มตั้งแต่เวลาประมาณ 04.30 น. มาหยุดอีกทีประมาณ 05.30 น.ถึงแม้จะเตรียมอุปกรณ์ป้องกันฝนมาอย่างดี แต่ถ้าเป็นไปได้อย่าเสี่ยงดีกว่าครับ สำหรับภาพนี้ เนื่องจากสภาพแสงที่น้อย ผู้เขียนเลยใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/250 วินาที ค่ารูรับแสง F2.8 และ ISO1600 

วิ่งเก๊ายาง

สำหรับภาพสุดท้ายนี้เป็นภาพจากงานวิ่ง "มาเตวมาล่น ถนนเก๊ายาง" เส้นทางวิ่งบนถนนสายต้นยาง ถนนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมากมาย สำหรับภาพนี้ ตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ไว้ที่ 1/1000 วินาที ค่ารูรับแสง F2.8 ค่า ISO 3200

ท้ายนี้ หลังจากช่างภาพเสร็จสิ้นการถ่ายภาพในแต่ละรายการแล้ว อย่าลืมตรวจสอบจุดที่ช่างภาพอยู่ เก็บสิ่งของ ทำความสะอาด และจัดสถานที่บริเวณที่ให้อยู่ในสภาพเดิมด้วยนะครับ

สำหรับบทความนี้ ผู้เขียนได้จัดทำภาพประกอบจากภาพถ่ายผลงานที่ได้ไปร่วมถ่ายภาพงานวิ่งต่าง ๆ ซึ่งท่านที่สนใจสามารถเข้าไปชมผลงานได้ที่ facebook / JoNatchanokPhotoGrapher

เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี 

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์