อื่นๆ
ทำยังไงเมื่อถูกสามีหยิบยื่นคำว่า "แม่เลี้ยงเดี่ยว" ให้แบบไม่เต็มใจ
สวัสดีค่ะ คุณผู้อ่านทุกท่านวันนี้ผู้เขียนจะนำทุกท่านไปสู่เรื่องราวที่ลูกผู้หญิงหลายคนไม่อยากเจอ
แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ เมื่อถูกสามีของเราหยิบยื่นให้ ซึ่งในสังคมสมัยนี้ ผู้ชายนอกใจภรรยา ภรรยานอกใจสามี
มีให้เราเห็นแทบทุกวันผ่านสื่อ สำหรับเรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับผู้เขียนเอง และผ่านมาหลายปีแล้ว
ซึ่งก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าปัจจุบันผู้เขียนเองอายุ 47 ปี แล้ว เมื่อ 17 ปีที่แล้วได้แต่งงานอยู่กินกับพ่อของลูก
และได้หย่ากับสามีตั้งแต่ลูกชายอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น ซึ่งเรื่องราวต่างๆ ผ่านมานานแต่เราก็ยังจดจำได้ดี
เราเป็นคุณแม่ที่สามีให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกหลังจากคลอดลูกแล้ว ชีวิตเราก็ยุ่งกับการดูแลลูกเป็นหลัก ปล่อยตัว
ไม่ดูแลตัวเองเลย เชื่อว่าคุณแม่หลายๆ คนน่าจะเป็นแบบนี้ หลังมีลูกเล็กๆ วุ่นวายกับการเลี้ยงลูก
เหนื่อยแต่มีความสุข ซึ่งชีวิตเรามีผู้หญิงหลายคนอิจฉาว่าสามีเลี้ยงดี แต่ใครจะไปคลาดคิดว่าสามีที่ดูเหมือนจะดี
Advertisement
Advertisement
ได้แอบมีความสัมพันธ์ กับผู้หญิงคนอื่นลับหลังเรา และเรื่องราวก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้ "แม่เลี้ยงเดี่ยว"
มันเหมือนฟ้าผ่าลงมาบนหัวเรา เมื่อเรารู้ว่าสามีที่เราเฝ้าคิดว่าเขารักเรา รักลูก แต่บัดนี้กำลังมีผู้หญิงอีกคน
เข้ามาในชีวิต มีโลกใบที่สอง เราเสียใจแทบเสียสติร้องไห้จนไม่เป็นอันทำอะไร จากที่เคยเล่นกับลูกคอยสังเกต
พัฒนาการของลูก สอนลูกอ่านเขียน เราไม่สนใจลูกเลยเอาแต่ร้องไห้ แล้วก็เฝ้านั่งคิดว่าทำไมๆๆๆๆๆๆๆ
ต้องบอกว่าคำว่า"ทำไม" มีเต็มหัวเราไปหมดคิดไปร้องไห้ไป จนลูกเดินถือถ้วยข้าวมาขอข้าวกิน
"แม่คับหนูหิวข้าว" (เล็กๆ ลูกเราแทนตัวเองว่าหนู) พอได้ยินลูกพูดว่าหิวข้าวเราก็ดึงสติกับมา
นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ถึงปล่อยลูกแบบนี้ หลังจากนั้นเราก็เริ่มตั้งสติอีกครั้ง พยายามทำทุกอย่างให้ปกติ
แต่เอาจริงๆ นะคะ เวลานั้นมันไม่ปกติหรอกค่ะ แค่สามีกลับบ้านดึกเราก็คิด ๆๆ จินตนาการไปต่างๆ นาๆ
Advertisement
Advertisement
จิตฟุ้งซ่าน เป็นแบบนี้อยู่นานเหมือนกัน อยู่คนเดียวเมื่อไหร่ก็ร้องไห้ จนวันหนึ่งลูกชายที่ช่างพูด
กำลังพูด กำลังซน เดินมาเห็นเราร้องไห้ ลูกชายตัวน้อยได้พูดกับเราว่า
"ใครตีแม่คับป๊าเหรอ??? หนูไม่ยอม แม่ไม่มีป๊าโตขึ้นหนูจะดูแลแม่เอง"
ฟังคำพูดของลูกก็หยุดคิดตั้งสติอีกครั้ง และครั้งนี้เองเรารู้สึกว่ามันทุกข์เกินไปแล้ว จึงตัดสินใจบอกกับสามี
ว่า "เราไปหย่ากันเถอะ" สามีเขายอมโดยดี หลังจากนั้นเรากับลูกก็อยู่ด้วยกัน 2 คนแม่ลูก ส่วนสามีเขาไปอยู่กับ
ภรรยาใหม่และลูก ส่วนเราต้องกับมาเริ่มต้นทำงานใหม่ที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง ในวัย 34 ปี
วันที่ต้องทิ้งลูกชายไว้กับแม่ และขึ้นรถมาทำงานที่กรุงเทพฯ กับน้องสาวเรา ลูกชายเดินมายืนขวางไว้หน้าประตูรถ
และบอกว่า "ไม่ให้แม่ไป แม่บ้านเราจนแล้วเหรอ?? แม่ถึงต้องทำงานหนูไม่ให้แม่ไป"
Advertisement
Advertisement
เราน้ำตาไหลพูดไม่ออกได้แต่บอกว่า
"แม่ต้องไปหาเงินไว้ให้หนูเรียนหนังสือนะคับ หาบ้านใหม่ได้แม่จะมารับลูกไปอยู่ด้วยนะคับ"
ดูเหมือนลูกชายจะฟังไม่เข้าใจ จนคุณยายแม่ของเราต้องมาอุ้มไป ภาพวันนั้นมันทำร้ายหัวใจคนเป็นแม่มาก
เรานั่งรถร้องไห้มาจนถึงกรุงเทพฯ
หลังจากมาถึงกรุงเทพฯ เราก็เริ่มหางานแต่ด้วยวัย 34 ปี ก็หายาก จึงต้องทำงานทุกอย่าง รับดูแลผู้สูงอายุ
ผู้ป่วยติดเตียง ทำอยู่ประมาณ 6 เดือน แต่ช่วงเวลานั้นเราทรมานกับการคิดถึงลูกมากๆ
ช่วงเฝ้าไข้คุณยายที่ป่วยติดเตียง เราต้องพักที่บ้านเขา บ้านคุณยายอยู่หน้าโรงพยาบาลศิริราช เป็นตึกแถวช่วงมืดๆ
เราต้องขึ้นไปตากผ้าบนดาดฟ้า เรายืนมองแสงไฟร้องไห้ มีคำถามกับตัวเองทุกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา
ต่อมาเราได้งานทำกับบริษัทแห่งหนึ่งรายได้ดีพอสมควร เราก็ทำมาเรื่อยๆ เก็บเงินเพื่อจะซื้อบ้านมันเป็นความมุ่งมั่น
ของเรา ช่วงทรมานสุดๆ คือตอนอยู่คนเดียว จนวันหนึ่งเรามีโอกาสได้ฟังแม่ชีศันสนีย์ ในยูทูบ ท่านเทศสอนมีคำหนึ่ง
ที่ท่านสอน "อย่าไปเสียเวลาให้กับคนที่ไม่คู่ควร" เมื่อคนหนึ่งหมดรักเราก็ยังมีคนที่รักเรารอเราอยู่มากมาย
พร้อมที่จะหยิบยื่นความสุขให้เรา "อย่าเสียใจให้คนที่ไม่คู่ควร"
โอ้โฮ!!!! ฟังคำนี้เราคิดได้ทันที เราทุกข์ เราตรอมใจ แต่เขาลืมไปหมดแล้วเขาไปมีความสุข
ของเขาแล้ว ไปมีชีวิตของเขาแล้วแต่เรายังอยู่ที่เดิม
เมื่อคิดได้ก็เริ่มเปลี่ยนตัวเอง ดูแลตัวเอง ตั้งใจทำงานมากขึ้น ยิ้มง่ายขึ้น จนสุดท้ายเราซื้อคอนโดได้
และพาลูกมาอยู่ด้วยในปีที่ 3 จากนั้นเราเปลี่ยนจุดโฟกัสเป็นลูกเรา คิดทุกอย่างเอง อะไรที่ผู้หญิงไม่ทำ
เราก็ทำเอง ซ่อมรถ ขับรถเอง ล้างรถเอง เลิกงานดึกแค่ไหนก็ทำกับข้าวให้ลูกกิน เช้าไปส่งลูกที่โรงเรียน
ช่วงเย็นให้เขานั่งรถกลับเอง ใช้ชีวิตอยู่กับลูกจนถึงปัจจุบัน มาถึงตรงนี้ผู้เขียนเองอยากกจะบอกว่า
ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ทรมานได้ มีก็แต่ตัวเราเองเท่านั้น
ก้อนหินถ้าเราไม่กำมันไว้เราก็ไม่เจ็บมือ ทุกอย่างเริ่มที่ตัวเรา ปัจจัยอื่นเราควบคุมไม่ได้ ดังนั้น ต้องเริ่มที่เรา
อย่าหมดหวังหรือสิ้นหวังกับการกระทำของใคร แต่ให้หวังที่เรา และฝากทุกอย่างไว้ในมือของเราเองเท่านั้น
"ความรัก ดี และสวยงามเสมอ"หากมันเกิดถูกที่ถูกเวลา ถูกศีลธรรม
"ผู้หญิงและผู้ชายทุกคนสามารถมีลูกได้แต่มีบางคนเท่านั้นที่เป็นพ่อแม่คนได้"
ลูกคือสิ่งมีชีวิตที่อ้อนเก่งที่สุด ใช้เวลามีความสุขกับเขาในช่วงที่เขาต้องการ
ให้เขาเติบโตเป็นคนที่สมบูรณ์ด้วย ศีล ปัญญา
ถึงตรงนี้ผู้เขียนอยากจะบอกว่า "แม่เลี้ยงเดี่ยว" ไม่ได้เลวร้ายอะไรค่ะ ขอแค่เราทำหน้าที่แม่ให้สมบูรณ์
และมีความสุขกับชีวิตปัจจุบัน ให้อภัยตัวเองและผู้อื่น แค่นี้เราก็มีความสุขค่ะ
สุดท้ายขออวยพรให้ทุกท่านมีรักที่สมบูรณ์ ครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุขทุกๆ ท่านนะคะ
>>>>> แล้วพบกับเรื่องราวดีๆได้ใหม่ โอกาสต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ <<<<<
- ขอบคุณภาพปกจาก sasint,pixabay
- ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหาที่ 1 จาก ddimitrova,pixabay
- ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหาที่ 2 จาก vaniaraposo,pixabay
- ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหาที่ 3 จาก biankita_ua,pixabay
- ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหาที่ 4 จาก 12019/10259,pixabay
- ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหาที่ 5 จาก neildodhin,pixabay
- ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหาที่ 6 จาก anniespratt,pixabay
- ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหาที่ 7 จาก kangbch,pixabay
เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
ความคิดเห็น