อื่นๆ

บอกลากรุง..มุ่งสู่ชนบท!

116
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
บอกลากรุง..มุ่งสู่ชนบท!

จากมนุษย์ผัวเมียคู่หนึ่ง ที่เพียรทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการทำงาน  เพื่อแลกกับเงินก้อนเล็ก ๆ  ซึ่งจะได้รับเป็นค่าจ้างประจำทุกเดือน ด้วยความคิดที่ถูกปลูกฝังมาว่า งานที่มีรายได้แน่นอนนั้นคืองานที่มั่นคง....

นับเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว  กับการที่เราสองคนหันหลังให้ชนบทมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่ด้วยความหวัง  เหมือนกับใคร ๆ อีกหลายคนที่ตัดสินใจจากบ้านเกิดมาเสาะแสวงหาอนาคตที่ดีกว่าเดิม   งานดีเงินดี..คือสิ่งที่ดึงดูดให้อยู่เป็นลูกจ้างประจำของร้านอาหารแห่งหนึ่งมาเป็นเวลาเนิ่นนาน  นาน...จนหลงคิดไปว่านี่จะเป็นงานที่เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวที่บ้านนอกไปได้ตลอดชีวิต  เราจึงไม่ได้เตรียมใจรับกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน...งานที่ร้านอาหารตกงาน..!! เป็นสิ่งที่เราทั้งคู่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาประสบพบเจอ เหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัวเมื่ออยู่ ๆ ร้านอาหารที่เราสองคนทำงานอยู่ก็ปิดตัวลง ด้วยเหตุผลมากมายที่เจ้าของร้านบ่นพร่ำให้ฟังในวันสุดท้ายที่จ่ายเงินเดือน ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

Advertisement

Advertisement

รายจ่ายต่าง ๆ ที่ยังรออยู่มากมาย ทั้งครอบครัวทางบ้าน  ทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัวจิปาถะ  ทำให้เราไม่มีเวลามานั่งคร่ำครวญเสียใจมากนัก   เราและสามีมุ่งมั่นเดินหน้าหางานใหม่ทันที

แต่ก็นั่นละ...หางานใหม่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำอย่างนี้  อีกทั้งช่วงนั้นกำลังเริ่มมีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่นในประเทศจีน  ( เวลานั้นยังไม่มีการแพร่ระบาดในไทย )   ทำให้การหางานทำเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกินสำหรับคนที่มีวุฒิการศึกษาแค่ ม.ต้นแบบเรา   ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ  ค่ากินอยู่ที่แสนจะแพง ประเดประดังเข้ามาจนเงินเก็บที่มีอยู่น้อยนิดใกล้จะหมดลงเต็มที ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูทางบ้านมาตลอด ยิ่งบีบคั้นจิตใจให้เราต้องทำอะไรสักอย่าง ( หรืออาจจะต้องหลายอย่าง )  ไม่อย่างนั้นทั้งตัวเราเองและคนที่อยู่ข้างหลังจะต้องลำบากกันหมดยกครัวเป็นแน่ !

Advertisement

Advertisement

หลังจากที่นั่งคิดนอนคิดอย่างใคร่ครวญกันดีแล้ว  เราและสามีจึงตัดสินใจทิ้งความฝันที่จะมากอบโกยเงินจากเมืองใหญ่แห่งนี้  แล้วรีบเก็บข้าวของมุ่งหน้ากลับสู่บ้านชนบทที่จากมานานหลายปี..     เมื่อกลับมาถึงบ้านนอกถึงแม้ความกังวลจะมีมากมาย แต่ความสุขที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว ก็พอจะช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำจากความผิดหวังที่เผชิญมาได้บ้าง   ความคิดที่อยากจะอยู่ดูแลครอบครัวผุดขึ้นมาในหัวทันที   อีกทั้งประสบการณ์จากการตกงานแบบกระทันหัน ทำให้เข็ดจากการเป็นลูกจ้างอยู่ไม่น้อย..ช่วยกันเอาปลา

ทุกคนในครอบครัวจึงช่วยกันระดมความคิดเห็น เพื่อวางแผนว่าจะดำรงชีวิตต่อไปอย่างไรดี  เมืองที่เราอยู่นั้นเป็นเมืองเล็ก ที่ไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวหรือคนต่างถิ่นผ่านไปมามากนัก  เรื่องจะลงทุนค้าขายที่ต้องใช้ทุนเยอะและมีความเสี่ยงที่จะขาดดทุนจึงถูกตัดออกจากแผนการ    หลังจากคิด วิเคราะห์ แยกแยะ กันอย่างเข้มข้นแล้ว ผลที่ออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าเราจะเดินสายเกษตรพอเพียง..

Advertisement

Advertisement

หนึ่งในข้อดีของชนบทคือ เกือบทุกบ้านจะมีพื้นที่ใช้สอยเป็นบริเวณกว้าง   เราจึงใช้ที่รอบ ๆ บ้านนั้นเริ่มโครงการแรกทันที  นั่นคือ...... โครงการเลี้ยงหนูนาเพื่อเป็นอาหารพ่อกับสามีเราช่วยกันทำโรงหนู

เราถือเอาความคิดที่ว่า  ' เลี้ยงไว้กินเหลือจากกินก็ขาย '   ด้วยงบที่มีจำกัด เราจึงเริ่มจากทำเล็กๆก่อน ค่อยเป็นค่อยไปโดยครั้งแรกนี้เราเอาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาลงแค่สิบตัว หนูที่บ่อเลี้ยงนอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งโครงการที่ทำควบคู่กันไปด้วย   เนื่องจากเรามีที่ผืนเล็ก ๆ ที่ขุดบ่อน้ำไว้อยู่ก่อนแล้ว โครงการเลี้ยงปลาในกระชัง จึงตามมาติด ๆ  เราเลือกเลี้ยงปลาดุกและปลานิล  ( เลือกจากความชอบกินของคนในครอบครัว )   แม้จะไม่เคยทำมาก่อนแต่เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้และลงมือทำไปอย่างช้า ๆ โดยเราหาความรู้จากในอินเตอร์เน็ตกระชังปลาทำเอง

เราซื้ออุปกรณ์มาทำกระชังลอยน้ำเอง เพื่อลดต้นทุนกระชังปลาลอยน้ำ แม้เริ่มแรกจะพบกับอุปสรรคมากมาย จากการที่เราทุนน้อย  ซ้ำยังไม่เคยทำมาก่อน  แต่ความพยายามไม่เคยทำให้เราผิดหวัง เราหมั่นศึกษาและถามผู้รู้ทุกครั้งที่มีโอกาส  จนเราเริ่มมีรายได้เล็กน้อยจากการขายปลากิโลละ 50 - 70 บาท พอได้ใช้จ่ายในครอบครัว  ( ระหว่างที่รอผลผลิตรเราก็รับจ้างทั่วไปพอให้มีรายได้เสริม)ขายปลาจ้า

เมื่อไม่ได้ทำงานประจำเวลาว่างของเราจึงเยอะ  แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยเวลาอันมีค่าให้เปล่าประโยชน์ เราจึงหมดเวลาแต่ละวันไปกับการปลูกผักสวนครัว    แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่การปลูกผักก็ทำให้มีความสุขได้ ได้กินผัก ได้ขาย  ได้สนุกด้วย  ได้ทำกิจกรรมกับครอบครัวเริ่มปลูกผัก

ผ่านมาหลายเดือนแม้สิ่งที่เราทำจะยังไม่สามารถสร้างเงินได้จนมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ก็พอที่จะจุนเจือครอบครัวได้  บวกกับทุกคนในบ้านต่างช่วยเหลือและให้กำลังใจกันอย่างเต็มที่  เราจึงผ่านช่วงมืดมนของชีวิตมาด้วยดี  เรียกว่าดีกว่าที่คิดไว้ซะอีกปลูกผักหลังบ้าน

เมื่อเรามาย้อนนึกไปถึงวันแรกที่บากหน้ากลับมาบ้านนอกแห่งนี้ ด้วยความผิดหวังและเศร้าหมอง  ในเวลานั้นเรายอมรับว่ามันมืดไปหมด ในหัวคิดแต่ว่าไม่มีงานแล้วจะทำยังไงต่อไป  เงินเก็บก็แทบไม่มีจะหาเงินจากไหนมาจุนเจือครอบครัว รายจ่ายก็มากมาย  ทั้งยังกลัวชาวบ้านจะนึกดูถูกเรารึเปล่าที่กลับมาแบบจนตรอก ( อันนี้เราคิดไปเอง 555 )   หลายสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวตอนนั้นทำให้เครียดแทบเป็นบ้า  เพราะนึกว่าตัวเองมาถึงทางตันแล้ว .......  แต่พอเราหยุดคิด และใช้สติให้มาก มองหาช่องทางรอบ ๆ ตัว  เราได้ค้นพบว่า ' ทางตัน '  มันไม่มีอยู่จริง  ที่ตันนั้นเป็นเพียงแค่ความคิดในหัวของเราในเวลานั้นเท่านั้น..

ในช่วงวิกฤตินี้เรากลับได้ค้นพบสิ่งดี ๆ ที่เราหันหลังทิ้งมันไปเมื่อหลายปีก่อน   เวลานี้เราไม่นึกเสียใจเลยที่ต้องกลับมายังชนบทแห่งนี้ ตอนนี้เรามีรายได้จากสิ่งที่เป็นของเราเอง  ไม่ต้องมีนายจ้าง  ทั้งยังได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว ดูแลพ่อแม่ ปลูกผักกับน้อง กินข้าวกับลูก ๆ    และยิ่งกว่านั้นเรามีเวลาเหลือเฟือที่จะทำงานอดิเรกที่เรารัก  ซึ่งเมื่อก่อนเวลาเกือบทั้งหมดถูกทุ่มเทไปกับการทำงาน

เราคิดว่าคงมีหลาย ๆ คนที่วันนี้ต้องเจอกับวิกฤติตกงานแบบเรา  เรารู้ค่ะว่ามันเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง  อาจจะดูเหมือนว่าถึงทางตันแต่เชื่อเถอะค่ะว่าทางออกมีสำหรับทุกคนเสมอ ขอแค่เราเปิดใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงและพร้อมปรับตัวไปตามสถานการณ์ เราจะผ่านมันไปได้และอาจจะพบกับความสุขใกล้ ๆ ตัวที่ตามหามานานก็ได้...เหมือนที่เราได้พบแล้ว  ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนผ่านพ้นช่วงร้าย ๆ นี้ไปด้วยกันนะคะ

ภาพถ่ายทั้งหมดโดยนักเขียน

ปลาปิ้งข้างบ้าน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์