อื่นๆ
บอกลากรุง..มุ่งสู่ชนบท!
จากมนุษย์ผัวเมียคู่หนึ่ง ที่เพียรทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการทำงาน เพื่อแลกกับเงินก้อนเล็ก ๆ ซึ่งจะได้รับเป็นค่าจ้างประจำทุกเดือน ด้วยความคิดที่ถูกปลูกฝังมาว่า งานที่มีรายได้แน่นอนนั้นคืองานที่มั่นคง....
นับเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว กับการที่เราสองคนหันหลังให้ชนบทมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่ด้วยความหวัง เหมือนกับใคร ๆ อีกหลายคนที่ตัดสินใจจากบ้านเกิดมาเสาะแสวงหาอนาคตที่ดีกว่าเดิม งานดีเงินดี..คือสิ่งที่ดึงดูดให้อยู่เป็นลูกจ้างประจำของร้านอาหารแห่งหนึ่งมาเป็นเวลาเนิ่นนาน นาน...จนหลงคิดไปว่านี่จะเป็นงานที่เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวที่บ้านนอกไปได้ตลอดชีวิต เราจึงไม่ได้เตรียมใจรับกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน...ตกงาน..!! เป็นสิ่งที่เราทั้งคู่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาประสบพบเจอ เหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัวเมื่ออยู่ ๆ ร้านอาหารที่เราสองคนทำงานอยู่ก็ปิดตัวลง ด้วยเหตุผลมากมายที่เจ้าของร้านบ่นพร่ำให้ฟังในวันสุดท้ายที่จ่ายเงินเดือน ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป
Advertisement
Advertisement
รายจ่ายต่าง ๆ ที่ยังรออยู่มากมาย ทั้งครอบครัวทางบ้าน ทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัวจิปาถะ ทำให้เราไม่มีเวลามานั่งคร่ำครวญเสียใจมากนัก เราและสามีมุ่งมั่นเดินหน้าหางานใหม่ทันที
แต่ก็นั่นละ...หางานใหม่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำอย่างนี้ อีกทั้งช่วงนั้นกำลังเริ่มมีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่นในประเทศจีน ( เวลานั้นยังไม่มีการแพร่ระบาดในไทย ) ทำให้การหางานทำเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกินสำหรับคนที่มีวุฒิการศึกษาแค่ ม.ต้นแบบเรา ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากินอยู่ที่แสนจะแพง ประเดประดังเข้ามาจนเงินเก็บที่มีอยู่น้อยนิดใกล้จะหมดลงเต็มที ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูทางบ้านมาตลอด ยิ่งบีบคั้นจิตใจให้เราต้องทำอะไรสักอย่าง ( หรืออาจจะต้องหลายอย่าง ) ไม่อย่างนั้นทั้งตัวเราเองและคนที่อยู่ข้างหลังจะต้องลำบากกันหมดยกครัวเป็นแน่ !
Advertisement
Advertisement
หลังจากที่นั่งคิดนอนคิดอย่างใคร่ครวญกันดีแล้ว เราและสามีจึงตัดสินใจทิ้งความฝันที่จะมากอบโกยเงินจากเมืองใหญ่แห่งนี้ แล้วรีบเก็บข้าวของมุ่งหน้ากลับสู่บ้านชนบทที่จากมานานหลายปี.. เมื่อกลับมาถึงบ้านนอกถึงแม้ความกังวลจะมีมากมาย แต่ความสุขที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว ก็พอจะช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำจากความผิดหวังที่เผชิญมาได้บ้าง ความคิดที่อยากจะอยู่ดูแลครอบครัวผุดขึ้นมาในหัวทันที อีกทั้งประสบการณ์จากการตกงานแบบกระทันหัน ทำให้เข็ดจากการเป็นลูกจ้างอยู่ไม่น้อย..
ทุกคนในครอบครัวจึงช่วยกันระดมความคิดเห็น เพื่อวางแผนว่าจะดำรงชีวิตต่อไปอย่างไรดี เมืองที่เราอยู่นั้นเป็นเมืองเล็ก ที่ไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวหรือคนต่างถิ่นผ่านไปมามากนัก เรื่องจะลงทุนค้าขายที่ต้องใช้ทุนเยอะและมีความเสี่ยงที่จะขาดดทุนจึงถูกตัดออกจากแผนการ หลังจากคิด วิเคราะห์ แยกแยะ กันอย่างเข้มข้นแล้ว ผลที่ออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าเราจะเดินสายเกษตรพอเพียง..
Advertisement
Advertisement
หนึ่งในข้อดีของชนบทคือ เกือบทุกบ้านจะมีพื้นที่ใช้สอยเป็นบริเวณกว้าง เราจึงใช้ที่รอบ ๆ บ้านนั้นเริ่มโครงการแรกทันที นั่นคือ...... โครงการเลี้ยงหนูนาเพื่อเป็นอาหาร
เราถือเอาความคิดที่ว่า ' เลี้ยงไว้กินเหลือจากกินก็ขาย ' ด้วยงบที่มีจำกัด เราจึงเริ่มจากทำเล็กๆก่อน ค่อยเป็นค่อยไปโดยครั้งแรกนี้เราเอาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาลงแค่สิบตัว นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งโครงการที่ทำควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากเรามีที่ผืนเล็ก ๆ ที่ขุดบ่อน้ำไว้อยู่ก่อนแล้ว โครงการเลี้ยงปลาในกระชัง จึงตามมาติด ๆ เราเลือกเลี้ยงปลาดุกและปลานิล ( เลือกจากความชอบกินของคนในครอบครัว ) แม้จะไม่เคยทำมาก่อนแต่เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้และลงมือทำไปอย่างช้า ๆ โดยเราหาความรู้จากในอินเตอร์เน็ต
เราซื้ออุปกรณ์มาทำกระชังลอยน้ำเอง เพื่อลดต้นทุน แม้เริ่มแรกจะพบกับอุปสรรคมากมาย จากการที่เราทุนน้อย ซ้ำยังไม่เคยทำมาก่อน แต่ความพยายามไม่เคยทำให้เราผิดหวัง เราหมั่นศึกษาและถามผู้รู้ทุกครั้งที่มีโอกาส จนเราเริ่มมีรายได้เล็กน้อยจากการขายปลากิโลละ 50 - 70 บาท พอได้ใช้จ่ายในครอบครัว ( ระหว่างที่รอผลผลิตรเราก็รับจ้างทั่วไปพอให้มีรายได้เสริม)
เมื่อไม่ได้ทำงานประจำเวลาว่างของเราจึงเยอะ แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยเวลาอันมีค่าให้เปล่าประโยชน์ เราจึงหมดเวลาแต่ละวันไปกับการปลูกผักสวนครัว แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่การปลูกผักก็ทำให้มีความสุขได้ ได้กินผัก ได้ขาย ได้สนุกด้วย ได้ทำกิจกรรมกับครอบครัว
ผ่านมาหลายเดือนแม้สิ่งที่เราทำจะยังไม่สามารถสร้างเงินได้จนมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ก็พอที่จะจุนเจือครอบครัวได้ บวกกับทุกคนในบ้านต่างช่วยเหลือและให้กำลังใจกันอย่างเต็มที่ เราจึงผ่านช่วงมืดมนของชีวิตมาด้วยดี เรียกว่าดีกว่าที่คิดไว้ซะอีก
เมื่อเรามาย้อนนึกไปถึงวันแรกที่บากหน้ากลับมาบ้านนอกแห่งนี้ ด้วยความผิดหวังและเศร้าหมอง ในเวลานั้นเรายอมรับว่ามันมืดไปหมด ในหัวคิดแต่ว่าไม่มีงานแล้วจะทำยังไงต่อไป เงินเก็บก็แทบไม่มีจะหาเงินจากไหนมาจุนเจือครอบครัว รายจ่ายก็มากมาย ทั้งยังกลัวชาวบ้านจะนึกดูถูกเรารึเปล่าที่กลับมาแบบจนตรอก ( อันนี้เราคิดไปเอง 555 ) หลายสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวตอนนั้นทำให้เครียดแทบเป็นบ้า เพราะนึกว่าตัวเองมาถึงทางตันแล้ว ....... แต่พอเราหยุดคิด และใช้สติให้มาก มองหาช่องทางรอบ ๆ ตัว เราได้ค้นพบว่า ' ทางตัน ' มันไม่มีอยู่จริง ที่ตันนั้นเป็นเพียงแค่ความคิดในหัวของเราในเวลานั้นเท่านั้น..
ในช่วงวิกฤตินี้เรากลับได้ค้นพบสิ่งดี ๆ ที่เราหันหลังทิ้งมันไปเมื่อหลายปีก่อน เวลานี้เราไม่นึกเสียใจเลยที่ต้องกลับมายังชนบทแห่งนี้ ตอนนี้เรามีรายได้จากสิ่งที่เป็นของเราเอง ไม่ต้องมีนายจ้าง ทั้งยังได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว ดูแลพ่อแม่ ปลูกผักกับน้อง กินข้าวกับลูก ๆ และยิ่งกว่านั้นเรามีเวลาเหลือเฟือที่จะทำงานอดิเรกที่เรารัก ซึ่งเมื่อก่อนเวลาเกือบทั้งหมดถูกทุ่มเทไปกับการทำงาน
เราคิดว่าคงมีหลาย ๆ คนที่วันนี้ต้องเจอกับวิกฤติตกงานแบบเรา เรารู้ค่ะว่ามันเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง อาจจะดูเหมือนว่าถึงทางตันแต่เชื่อเถอะค่ะว่าทางออกมีสำหรับทุกคนเสมอ ขอแค่เราเปิดใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงและพร้อมปรับตัวไปตามสถานการณ์ เราจะผ่านมันไปได้และอาจจะพบกับความสุขใกล้ ๆ ตัวที่ตามหามานานก็ได้...เหมือนที่เราได้พบแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนผ่านพ้นช่วงร้าย ๆ นี้ไปด้วยกันนะคะ
ภาพถ่ายทั้งหมดโดยนักเขียน
ความคิดเห็น