ไลฟ์แฮ็ก

ประสบการณ์ 8 ข้อ How to move on ฉบับฮาร์ดคอร์

165
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ประสบการณ์ 8 ข้อ How to move on ฉบับฮาร์ดคอร์

ความรักมักจะมาพร้อมกับการอกหัก ใครที่มีความรักแล้วไม่เคยอกหักเลยก็ถือว่าโชคดีมาก แต่สำหรับใครที่มีประสบการณ์การอกหักมานับไม่ถ้วนก็ถือว่าเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีให้ชีวิตและจิตวิญญาณเข้มแข็งมากขึ้น เล่ามาถึงตรงนี้แล้วก็มีอีกหลายต่อหลายคนที่เคยอกหักแล้วไม่สามารถก้าวข้ามความโศกเศร้านั้นได้ มันก็จะสร้างปัญหาให้คน ๆ นั้นเพิ่มมากขึ้น ๆ และอาจจะกักขังจิตวิญญาณของคน ๆ นั้นไม่ให้สามารถใช้ชีวิตที่เป็นปกติได้

เหงาภาพโดยผู้เขียนเอง

วันนี้ก็เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์ ไม่ใช่ประสบการณ์ความรักนะ แต่เป็นประสบการณ์การรักษาอาการอกหักครั้งแรกจากรักแรกในชีวิต  ถ้าคุณถูกบอกเลิกคุณรู้สึกยังไง นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า เราจะทำยังไงให้สามารถ move on ไปได้อย่างผู้ชนะ  ต่อไปนี้จะเป็นวิธีการรักษาอาการอกหักฉบับฮาร์ดคอร์โดยมีทั้งหมด 8 หัวข้อ ดังนี้

Advertisement

Advertisement

Cryingภาพโดย Pixabay

  1. ร้องไห้ให้สุด แล้วหยุดภายใน 5 วัน หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวที่ทำให้เสียใจมาก ๆ จิตวิญญาณของเราจะเริ่มช็อก ตกใจ ทำให้ช่วงแรก ๆ ร่างกายของเราจะมีปฏิกิริยาที่เรียกว่า การปฏิเสธต่อความจริงที่ได้รับ   บางคนอาจจะทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้เลย บางคนอาจจะร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน หรือร้ายกว่านั้นก็คือ อาจจะถึงขั้นโวยวาย ขว้างปาข้าวของ ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรอบข้างได้ ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ ดังกล่าว ดังนั้นการได้ร้องไห้ การระบายจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่เราสามารถทำได้เลยทันที การร้องไห้เพราะอกหักไม่ใช่เพราะเราอ่อนแอ แต่เป็นเพราะว่าเรามีความกล้าที่จะพยายามยอมรับความจริงแม้ว่าจะยังยอมรับไม่ได้เลยทันทีว่าเกิดเรื่องที่ทำให้จิตใจและร่างกายเรารู้สึกไม่ดี แล้วเราก็ร้องไห้ออกมา ช่วงแรก ๆ เราจะร้องไห้เยอะเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ ถ้าเราร้องไห้เพื่อระบายความเศร้าออกมาได้สักระยะหนึ่ง เราจะเริ่มรู้สึกเหนื่อย ร่างกายและจิตใจจะเริ่มเคยชินกับการร้องไห้ในเหตุผลเดิมที่เราคิดถึงแล้วก็ร้องไห้เป็นประจำ ประมาณ 5 วัน อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ถ้าปล่อยให้ล่วงเลยเกิน 5 วัน จะทำให้เราจมปลักในความเสียใจมากขึ้น ดังนั้นควรจะค่อย ๆ เลิกร้องไห้ให้ได้ภายใน 5 วัน ของใช้ภาพโดย Pixabay
  2. เก็บสิ่งของที่เกี่ยวกับเขาทิ้งให้หมด คำแนะนำข้อนี้ ก็แล้วแต่ว่าใครจะสามารถทำใจได้ก่อนกัน สำหรับคนที่ผ่านข้อ 1 มาได้แล้ว จะสามารถจัดการข้อนี้ได้อย่างง่ายดาย การเก็บสิ่งของที่มีความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนซ่อนอยู่ทิ้งไป ก็เท่ากับการตัดทิ้งความสัมพันธ์เหล่านั้น แต่เรามีข้อเสนออีกข้อหนึ่งก็คือ เอาไปบริจาคหรือเอาไว้ใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นก็จะดีมาก แต่ไม่แนะนำให้คนที่จิตใจไม่เข้มแข็งพอเก็บสิ่งของเหล่านั้นไว้นะ เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่ามันจะมีความสัมพันธ์ของเราอยู่ในนั้น เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นมันก็จะกระตุ้นให้ความจำระหว่างคนสองคนสะท้อนออกมาได้มากขึ้น แล้วมันก็จะทำให้เราตัดใจและ move on ได้ยากขึ้น ของแพงที่ตัดใจทิ้งไม่ลง ก็ขายทิ้งได้นะ
  3. เลิกกันแล้วกลับมาเป็นเพื่อนกัน(ไม่)ได้หรอ สำหรับข้อนี้ที่ใส่วงเล็บไว้นั้น มีได้สองกรณี คือ เลิกแล้วอยากกลับมาเป็นเพื่อนกัน กับเลิกแล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ด้วยเหรอ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เคยมีคนตั้งคำถามไว้มากมายซึ่งคำตอบมันก็แล้วแต่กรณี ถ้าคิดว่าเลิกกันแล้วจะคบกันเป็นเพื่อนต่อไป สำหรับเราคงทำแบบนั้นไม่ได้เพราะความเป็นเพื่อนมันได้หายไปพร้อมกับวินาทีที่เขาบอกเลิกเราแล้ว ดังนั้นสำหรับข้อนี้ใครที่คิดว่าตัวเองใจแข็งพอก็กลับไปเป็นเพื่อนกับเขาก็ได้ แต่ถ้าใครใจไม่แข็งพอก็อย่าทำเลยเพราะมันจะทำให้จิตใจเราทุกข์ทรมารมากขึ้น แถมอาจจะไม่เกิดประโยชน์กับใครเลยแถมยังทำร้ายตัวเองอีกต่างหาก Partyภาพโดย Pixabay
  4. จริง ๆ เราต้องการอยู่กับตัวเองมากกว่าอยู่กับเพื่อน สำหรับข้อนี้เราอยากขอสวนกระแสหน่อยเพราะว่าการที่เรารู้สึกเสียใจอยู่ แล้วออกไปปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ หรือการเล่า ระบายให้เพื่อน ๆ ฟัง บางคนบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะได้ระบายเอาความโศกเศร้าออกมา แต่เรากลับคิดว่าการออกไปกับเพื่อน อยู่กับเพื่อน ระบายให้กับเพื่อน ๆ หรือคนสนิทรับรู้และช่วยแบ่งเบาปัญหาไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริง เพราะสุดท้ายเราก็จะกลับมาอยู่คนเดียวเหมือนเดิม เช่น ตอนนอนหลับ ถึงแม้ว่าเราจะนอนอยู่กับเพื่อน ๆ แต่สุดท้ายเราก็หลับคนเดียว ความคิดของเราคนเดียว เป็นตัวของเราคนเดียว ดังนั้นการได้อยู่กับตัวเอง ทำความเข้าใจกับความรู้สึกตัวเอง ยอมรับความเสียใจ ก็จะ move on ได้ง่ายขึ้น
  5. อย่าพยายามปล่อยวาง มีหลายคนที่แนะนำเราว่าให้ปล่อยวาง ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้เข้าใจด้วยซ้ำว่า การปล่อยวางคืออะไร เราบอกเลยว่า เราไม่สามารถปล่อยวางความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจได้เลยในทันที และไม่สามารถปล่อยได้จนกว่าเราจะทำความเข้าใจและตั้งใจจะก้าวเดินข้ามผ่านความเสียใจนั้น
  6. การบังคับตัวเองให้เลิกคิดถึงเขาไม่ใช่ทางออกที่ดี อย่ากดดันตัวเองเพื่อให้เลิกให้ได้ ตัดใจให้ได้หรือต้อง move on ให้ได้ แต่ก็อย่าอ่อนข้อให้ความเสียใจเหมือนกัน เราตั้งเป้าหมายเพื่อที่เราจะได้ก้าวเดินต่อไป ไม่ใช่เพื่อกดดันตัวเอง ทุกอย่างต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป
  7. คิดถึงเรื่องดี ๆ ของเขาให้มาก การคิดถึงเรื่องดี ๆ ของเขาจะทำให้ความโกรธแค้นระหว่างเราลดลง แน่นอนว่าไม่ใช่ใครก็ทำได้ บางคนยิ่งคิดถึงเรื่องดี ๆ ของเขาก็ยิ่งทำให้หวนกลับไปคิดถึงเขามากขึ้น และก็จะเข้าสู่วัฏจักรเดิมคือ กลับไปเสียใจร้องไห้ฟูมฟายอีกรอบ ไม่สามารถก้าวต่อไปเส้นทางอื่นได้ แต่สำหรับใครที่ใจแข็งหน่อยสามารถคิดถึงเรื่องดี ๆ ของเขาได้ มันจะทำให้ทิฐิในใจเราลดลง การให้อภัยทานก็จะเกิดขึ้น แต่อย่างที่บอกคือ นี่เป็นประสบการณ์ฮาร์ดคอร์ของการรักษาอาการอกหัก สำหรับคนใจอ่อน ใจไม่เข้มแข็งพออาจจะไม่เหมาะ
  8. Root cause analysis หาเหตุและแก้มันซะ การหาเหตุและผลของความเสียใจ บางคนไม่มีเวลามาหามันหรอก แต่รู้ไหมว่ามันคือสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะการค้นหาสาเหตุจริง ๆ ของความเสียใจ จะทำให้เราแก้ไขมันได้อย่างถูกต้องและตรงจุดว่าเราเสียใจเพราะเรารักเขามาก เราหลงเขามาก หรือว่าเราแค่เหงา หรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราผ่านพ้นช่วงปฏิเสธไปได้แล้ว เราจะเข้าสู่ช่วงของการหาวิธีปลอบใจตัวเอง ซึ่งเราจะฉวยโอกาสช่วงนี้แหละในการหาเหตุผลที่แท้จริง และแก้มันซะ อย่างไรก็ตามวิธีนี้ก็เป็นดาบสองคมที่อาจจะทำให้เราโทษตัวเราเองได้ ดังนั้นถ้าใครใจไม่แข็งพอก็อย่าทำตาม 8 ขั้นตอนนี้

Advertisement

Advertisement

move onภาพโดย Pixabay

ตั้งเป้าหมายให้ก้าวเดินต่อไปให้ได้ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องกดดันตัวเอง ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป แล้วเรื่องความเสียใจจะผ่านพ้นไปได้เอง

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์