อื่นๆ

ประสบการณ์ดูแลคุณแม่ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างสบายกายและใจเป็นสุข

1.1k
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ประสบการณ์ดูแลคุณแม่ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างสบายกายและใจเป็นสุข

ภาพโดย Bruno/Germany จาก Pixabay

คุณรู้หรือไม่ว่า "โรคมะเร็ง" คือโรคร้ายที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันหลายปี ข้อมูลล่าสุดพบว่าคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นจำนวนมากกว่า 67,000 คน ต่อปี หรือเฉลี่ย 8 คน ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากมายจนน่าตกใจ และคงน่าเศร้าใจยิ่งนักหากวันหนึ่งวันใดโรคร้ายที่ชื่อว่า "มะเร็ง" มาเยี่ยมเยือนตัวคุณหรือคนที่คุณรัก อย่างหาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคุณเองจะมีวิธีรับมือหรือจัดการสภาวะนี้อย่างไรเมื่อร่างกายที่ถดถอยและจิตใจของผู้ป่วยกำลังดิ่งลง

เชื่อว่าหลายคนกำลังทุกข์ใจอยู่ไม่น้อย สำหรับใครที่กำลังดูแลผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย หรือการดูแลแบบ ประคับประคอง (Palliative Care) กล่าวคือ คุณหมอได้วินิจฉัยแล้วว่า เป็นช่วงสุดท้ายของโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาหายขาดได้ หรือภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่าย ๆ  คือ "รอวันตาย" ซึ่งมันบีบหัวใจคนเป็นลูกอย่างผู้เขียนเหลือเกิน ที่รู้ว่าคนเป็นแม่เดินทางมาถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยที่เราได้แต่นั่งมองดูความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานกับการรักษาของผู้เป็นแม่ตลอดเวลา โดยที่ทำอะไรหรือช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดนี้จากแม่ไม่ได้เลย

Advertisement

Advertisement

คุณแม่ของผู้เขียนตรวจเจอมะเร็งเต้านมในระยะที่ 3 กำลังลามไประยะที่ 4 เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่รับการรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบันไม่ครบคอร์สเนื่องจากกระบวนการรักษาต้องให้คีโมและคุณแม่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง จึงได้หันไปพึ่งแพทย์ทางเลือกซึ่งคุณแม่ยืนกรานว่าจะขอเลือกวิธีการรักษาในแนวทางของตนเอง แม้จะขัดใจกับผู้เขียนและคนในครอบครัวก็ตาม ในระหว่างนี้ยังคงตรวจติดตามผลของแพทย์แผนปัจจุบันตามกำหนดทุกครั้ง  และผลตรวจไม่ได้มีอะไรน่ากังวล จนคนในครอบครัวรู้สึกสบายใจว่ามะเร็งร้ายได้ตายไปแล้วจากการรักษาในแนวทางของแม่ แต่โชคชะตาก็ใจร้ายเหลือเกินที่ต้องทำให้เรารู้ว่า เชื้อมะเร็ง ได้ลามไปที่กระดูกต้นขาของแม่ ทำให้จากที่เดินได้ > เป็นเดินไม่ถนัด > เดินโดยใช้ไม้เท้า > เดินโดยใช้วอร์คเกอร์ และเดินไม่ได้ในที่สุดตามลำดับ ซึ่งระยะเวลาที่กล่าวมากินเวลาประมาณ 5 เดือน อยู่ในกระบวนการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันตามสิทธิ์ ตลอดระยะเวลาของการรักษา ผู้เขียนได้เห็นถึงความทุกข์ทรมานของแม่ และภาวะการลุกลามทำให้บ่อยครั้งแม่ต้องแอดมิด เนื่องจากทานไม่ได้ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดเนื้อปวดตัว โดนเจาะเลือด โดนเจาะน้ำเกลือ โดนถอนฟัน โดนทำการสแกนโดยไปอยู่ในอุโมงค์แคบ ๆ  เป็นเวลาหลายชั่วโมง ห้ามขยับตัว ทั้ง ๆ  ที่แม่ปวดขา ปวดหลังจากมะเร็งร้าย แต่ผู้เขียนก็ทำหน้าที่ดูแลแม่อย่างดีที่สุดทุกวินาทีและให้กำลังใจแม่มาโดยตลอด

Advertisement

Advertisement

คุณแม่แอดมิด

ถึงเราจะรอคอยปาฏิหาริย์ให้คุณแม่รอดชีวิต ซึ่งแสงตรงปลายอุโมงค์มันเหลือน้อยเต็มที ผู้เขียนนั่งทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อในอดีต ขณะที่แม่เฝ้ามองดูการเจริญเติบโตของลูกทุกย่างก้าว แต่ตอนนี้เรากลับเฝ้ามองดูความถดถอยทั้งร่างกายและจิตใจของแม่ อย่างที่เราช่วยอะไรไม่ได้เลย จากเดินได้เป็นเดินไม่ได้ จากกินได้เป็นกินไม่ได้ จากพูดได้เป็นพูดไม่ได้ เมื่อการแอดมิดครั้งสุดท้ายเดินทางมาถึง ครั้งนี้คุณแม่ต้องเข้า ICU เพราะตัวโรคทำให้อาจจะไตวาย หัวใจวายได้ แต่แค่เป็นเคสเฝ้าระวังที่ยังไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และอุปกรณ์อะไรที่รุงรัง แต่แพทย์พยากรณ์โรคแล้วว่า คุณแม่เดินทางมาจนถึงระยะสุดท้ายแล้ว จะให้เรายื้อชีวิตหรือไม่หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ผู้เขียนและครอบครัวตัดสินใจที่จะไม่ยื้อชีวิตใด ๆ เพราะไม่อยากให้แม่ต้องเจ็บปวดทรมานอีกแล้ว ซึ่งคุณหมอแนะนำแนวทางหรือให้กำลังใจดีมาก สุดท้ายเราจึงพาคุณแม่กลับมารักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care) เองที่บ้าน โดยอาศัยหาความรู้ในอินเตอร์เน็ตการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เรียนรู้ที่จะใช้สัญชาตญาณความเป็นลูกเพื่อดูแลแม่ และใช้ทุกเวลาที่เหลือน้อยเต็มทีกับแม่ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการป้อนอาหารทั้ง ๆ  ที่แม่ก็กินไม่ได้ การชวนคุยทั้ง ๆ  ที่แม่ก็พูดไม่ได้ การเปิดคลิปบทสวดมนต์ การนิมนต์พระมาเพื่อให้แม่ทำบุญที่บ้านตามความเชื่อ การทำความสะอาดร่างกายให้แม่ได้สบายเนื้อสบายตัว ฯลฯ แต่ทั้งหมดนั้นคุณแม่อยู่ในอาการที่บางครั้งไม่ได้มีสติ และใช้เวลาทั้งหมดไปกับการนอนพักผ่อนเสียเป็นส่วนใหญ่

Advertisement

Advertisement

ดูแลคุณแม่แบบประคับประคอง

เมื่อวาระสุดท้ายเดินทางมาถึง....

จากสภาพร่างกายที่ทานอะไรไม่ได้แม้กระทั่งการกลืนน้ำ การหายใจที่แรงขึ้นจนต้องใช้ปากในการช่วยหายใจ และความดันต่ำลง ๆ  ผู้เขียนยังคงไม่แน่ใจตนเองว่าจะทนกับสภาพนี้ของแม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ ว่าการรักษาแบบประคับประคอง คือให้ผู้ป่วยพักผ่อนอย่างสบายและจากไปอย่างธรรมชาติที่สงบที่สุด นั่นคือ ไม่ต้องมีสายระโยงระยาง ไม่ต้องสอดอุปกรณ์ช่วยหายใจ ไม่ต้องโดนเจาะหรือสอดอุปกรณ์ตามที่ต่าง ๆ จนร่างกายบอบช้ำ สุดท้ายเวลาแห่งความเสียใจก็ดำเนินมาถึง คุณแม่หายใจแผ่วลง แผ่วลง ความดันต่ำลงจนอ่านค่าไม่ได้ แล้วก็หมดลมจากไปแบบสงบ....

คุณแม่จากไปอย่างสงบในความเสียใจต่อการจากไปครั้งนี้ ผู้เขียนไม่เคยรู้สึกว่ามีครั้งไหนในชีวิตที่ "ตัดสินใจ" ได้ถูกต้องขนาดนี้ ต้องขอบคุณคุณหมอที่แนะนำให้เรามีความรู้ว่า หากการรักษาโรคที่ไม่มีวันหายและอยู่ในระยะสุดท้าย ร่างกายของคนเราจะหลั่งสารที่ทำให้ไม่หิว ไม่เจ็บ ไม่ปวด จึงไม่จำเป็นต้องกินข้าว กินยา และไม่จำเป็นต้องยื้อชีวิตผู้ป่วยให้อยู่กับเรานานที่สุดเพื่อสนองความต้องการของตนเองที่รู้สึกรับไม่ได้ต่อจากไปอย่างเห็นแก่ตัว โดยการต้องใช้เครื่องช่วยหายใจที่ไม่ใช่การยื้อชีวิตให้รอด แต่เป็นการยื้อชีวิตเพื่อมาทรมานอีกระยะหนึ่งเท่านั้น

"เวลา" จะมีความหมายที่สุดตอนที่  "ใกล้จะหมดเวลา"

เรามักจะได้ยินคนชอบคิดว่า หากย้อนเวลากลับไปได้จะกลับไป...... (อะไรก็ว่ากันไป) สำหรับผู้เขียนแล้วไม่เคยเสียดายเวลาของความเป็นลูก เพราะได้ทำหน้าที่ลูกอย่างสมบูรณ์ที่สุดอย่างที่ตั้งใจไว้แล้วในช่วงเวลาตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่และได้เป็นแม่คน ถึงจะเสียใจต่อการจากไปของแม่และไม่รู้จะใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะทำใจให้แข็งแรงเหมือนเดิมได้ แต่ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไปตามวาระ ...

ส่งคุณแม่

สุดท้ายท้ายสุดขอเป็นกำลังใจให้ผู้อ่านที่กำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกันผ่านช่วงเวลานี้ไปอย่างเข้มแข็งนะคะ และบันทึกบทกลอนในบทความนี้แทนความคิดถึงแม่อย่างไม่มีอะไรประมาณได้...

อ ย า ก บ อ ก ค น บ น ฟ้ า

มองลงมาหาลูกบ้างหากคิดถึง

เราห่างกันแค่กายแต่หัวใจยังคำนึง

ติดตราตรึงในจิตลูกตลอดไป

ลู ก ข อ ส่ ง แ ม่ เ พี ย ง แ ค่ นี้

หากบุญลูกยังพอมีภพภูมิไหน

ขอได้มาเป็นลูกของแม่ทุกชาติไป

เราจะได้พบกันใหม่ "ลูกกราบลา"

ค วั น โ พ ย พุ่ ง มุ่ ง สู่ แ ด น ส ว ร ร ค์

กรรมดีจัดสรรอย่างดีงามแล้วแม่จ๋า

ขอแม่มีความสุขในทุกครา

กราบเท้าลาแม่จ๋า "รักสุดใจ"

เ มื่ อ ว า ร ะ สุ ด ท้ า ย เ วี ย น ม า ถึ ง

ลูกคำนึงถึงมารดาน้ำตาไหล

การจากลาครานี้ช่างแสนไกล

ลูกจำใจต้องยอมรับสัจธรรม

ต่ อไ ป นี้ ไ ม่ มี อี ก แ ล้ ว " แ ม่ "

ลูกแน่วแน่เป็นคนดีดั่งแม่ฝัน

ขอกุศลผลบุญสำเร็จพลัน

ส่งแม่คืนสู่สวรรค์นิรันดร์กาล

ขอกุศลจากการถ่ายทอดเล่าเรื่องราวของคุณแม่ให้ผู้อ่านที่สนใจและกำลังเผชิญกับเรื่องราวเช่นนี้ได้รับรู้ ขอบุญนี้ส่งให้ถึงคุณแม่ของผู้เขียนเดินทางสู่สัมปรายภพด้วยเถิด...

ปล. โรคมะเร็งไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตกันทุกคนนะคะ อย่าหมดหวังและหมดกำลังใจหากมีลมหายใจอยู่ คนที่หายขาดจากโรคมะเร็งมีอยู่มากมาย ขอให้คุณเป็นหนึ่งในนั้น เรื่องราวที่แชร์เป็นเพียงประสบการณ์ที่อยากบอกเล่า มิได้เป็นการชี้แนะว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแต่ประการใด สุดท้ายบทความนี้เป็นเพียงแนวทางการรักษาแบบประคับคองในแบบของครอบครัวผู้เขียนเองเท่านั้น

เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์