อื่นๆ

พรายย้ำ

308
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
พรายย้ำ

เรื่องผีๆ สางๆ มันเป็นเรื่องลี้ลับที่รอการหาคำตอบอยู่ตลอดเวลา ฉันเองก็ไม่เคยรู้หรอกว่ามันมีจริงหรือไม่ กระทั่งได้สัมผัสบางอย่างด้วยตัวเอง

บ้านของฉัน เป็นบ้านริมคลอง อยู่แถวชานเมืองกรุงเทพฯ ในสมัยก่อน ย่านนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์นานา แม่น้ำลำคลองยังใสสะอาด ฉันจำได้ไม่เคยลืมว่า ตอนเด็กๆ ฉันกับเพื่อนๆ น้องๆ แถวบ้าน มักจะกระโดดเล่นน้ำในคลองกันแทบทุกวัน ยิ่งช่วงหน้าร้อนด้วยแล้วละก็  เรียกได้ว่า แทบไม่ขึ้นจากน้ำเลยทีเดียว

กิจกรรมสนุกๆ ของพวกเรา ก็เหมือนเด็กชาวสวนชาวไร่ทั่วๆ ไป ไม่มีของเล่นดีๆ ไม่ได้เดินห้าง ไม่ได้กินอะไรหรูๆ แต่เราก็สนุก กับการว่ายน้ำในคลอง เล่นปาโคลนใส่กัน  ตกปลา ช้อนกุ้ง หาหอย เอามาทำกับข้าวกินกัน ชีวิตเด็กริมคลองอย่างเราก็มักจะวนเวียนอยู่กับน้ำ จึงทำให้เราว่ายน้ำกันเป็นทุกคนตั้งแต่ยังเด็กๆ

Advertisement

Advertisement

เมื่ออยู่ใกล้น้ำ ก็ย่อมมีเรื่องลึกลับเกี่ยวกับน้ำที่เราควรรู้ไว้ ผู้หลักผู้ใหญ่จะพูดกรอกหูเราเสมอเรื่องของ ผีพราย หรือ พรายน้ำ

ปกติ เวลาพ่อกับแม่ไปทำงาน ฉันก็จะอยู่กับปู่และย่า ท่านทั้งสองจะเป็นคนที่คอยบอก คอยสอนเสมอ เวลาเราเล่นน้ำ จะต้องระวังตัวอะไรบ้าง นอกจากจะเป็นเรื่องอันตรายเกี่ยวกับการจมน้ำ การเป็นตะคริวหรืออะไรต่างๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ย่าเตือนเสมอก็คือ อย่าลงไปเล่นน้ำเวลากลางคืนเป็นอันขาด

“นี่พวกเอ็งน่ะ มืดๆ ค่ำๆ อย่าลงเล่นน้ำกันเป็นอันขาดเลยนะ เดี๋ยวจะโดนพรายย้ำ”

“อะไรของย่าเหรอพรายย้ำน่ะ”

“ก็ผีพรายที่อยู่ในน้ำไง ผีน้ำน่ะ มันจะกัด จะย้ำ เป็นจ้ำเขียวเต็มไปหมด บางคนโดนมาแล้ว ป่วยถึงตาย เพราะมันจะเอาไปอยู่เป็นเพื่อนมันด้วย” ย่าพูดสีหน้าจริงจัง

“แหม ย่าหลอกหนูล่ะสิ ไม่อยากให้หนูเล่นน้ำก็บอกเถอะ ใช่มั้ยย่า” ฉันพูดอย่างไม่เชื่อ

Advertisement

Advertisement

“ทำเป็นเล่นไปเถอะ ขนาดย่าเองยังเคยโดนมาแล้ว”

แล้วย่าก็เล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ย่าเคยลงไปอาบน้ำที่ท่าน้ำเวลากลางคืน เพราะวันนั้นย่ากลับมาถึงบ้านมืดค่ำ แล้วอากาศมันร้อนมาก จะตักน้ำขึ้นมาอาบมันก็ไม่ชื่นใจ ก็เลยนุ่งผ้าถุงลงไปตีโป่งเล่นในน้ำเพื่อดับร้อน คิดว่าแค่แป๊บเดียวคงไม่มีอะไร

แต่พอย่าขึ้นมาจากน้ำ ก็ต้องตกใจ เพราะที่ขาของย่ามีรอยจ้ำๆ เขียวๆ เต็มไปหมด ซึ่งย่าก็มั่นใจว่าไม่ได้ไปโดน หรือกระแทกกับอะไรมาอย่างแน่นอน ย่าจึงรู้ได้ทันทีว่านี่แหละ ที่เขาเรียกว่าพรายย้ำ

“จริงเหรอย่า แต่หนูว่ามันอาจจะไม่ใช่ผีก็ได้นะ อาจจะเป็นตัวอะไรมากัดหรือเปล่า” ฉันพยายามหาเหตุผล

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่รู้ล่ะ ถ้าข้าเห็นใครลงไปเล่นน้ำตอนกลางคืนนะ โดนตีแน่” ย่าดุ

“จ่ะย่า แหม! ใครจะไปเล่นน้ำตอนกลางคืนล่ะจ๊ะ หนาวก็หนาว หลอกผีหนูไม่กลัว แต่ขู่ด้วยไม้นี่หนูไม่สู้หรอกจ่ะ” ฉันพูดพลางทำหน้าตาทะเล้นใส่ย่า

Advertisement

Advertisement

ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่แก่นกะโหลก ไม่ค่อยจะเรียบร้อยสักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ  เพราะคิดว่าผู้ใหญ่ก็ชอบหลอกให้เด็กๆ กลัว แต่ฉันไม่ใช่เด็กที่กลัวผีอย่างนั้นแน่ๆ เพียงแต่ ฉันก็ไม่ใช่เด็กดื้อด้าน ที่จะไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ฉะนั้น ย่าห้ามอะไรไว้ ฉันก็ไม่เคยคิดจะทำหรอก

แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน จนเวลาโพล้เพล้ เราก็รีบขึ้นจากน้ำกัน พอดีว่าฉันเพิ่งสังเกต เห็นว่าสร้อยคอที่ฉันห้อยพระของพ่ออยู่นั้นหลุดหายไป

“ขึ้นไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ของมหาสร้อยแป๊บนึง มันหลุดหายไปไหนไม่รู้น่ะ” ฉันบอกกับน้องที่เล่นน้ำอยู่ด้วยกัน

“อ้าว! ไม่ได้ถอดออกเหรอ”

“วันนี้ลืมน่ะสิ... ไปๆ ขึ้นกันไปก่อน เดี๋ยวย่าเอ็ดเอา จะมืดแล้ว”

“ให้หนูช่วยหามั้ย”

“ไม่ต้องๆ พี่หาเอง ขึ้นบ้านไปเลย ย่าจะได้เห็น แล้วคิดว่าพวกเราขึ้นจากน้ำกันหมดแล้ว”

ฉันไล่ให้น้องขึ้นไปกันก่อน ส่วนตัวฉันก็ดำน้ำลงไปงมหาสร้อยพระ ปกติถ้ามีของหล่นน้ำ เด็กริมคลองอย่างฉัน คงงมหาเจอได้ไม่ช้าเป็นแน่ แต่คราวนี้ ฉันงมหาอยู่นานสองนานก็ไม่เจอ ขืนพ่อกลับมา รู้ว่าทำหล่นน้ำ พ่อคงโกรธแย่ เพราะพระองค์นี้ ฉันเป็นคนไปขอพ่อมา แล้วบอกว่าจะรักษามันไว้อย่างดี ไม่ทันไร ทำตกน้ำซะแล้ว

ฉันเพียรพยายามงมหาสร้อย หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ฉันก็ไม่รู้ รู้อีกทีคือ ฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉันกะว่าจะดำลงไปหาอีกสักรอบ ขณะที่ดำน้ำลงไป ฉันก็ได้ยินเสียงพ่อกับแม่แว่วๆ พวกท่านคงกำลังส่งเสียงเรียกฉันอยู่บนบก

ฉันจึงคิดว่า ไม่เจอก็ช่างเถอะ ขึ้นดีกว่าเดี๋ยวจะโดนเอ็ดไปมากกว่านี้

แต่ในขณะที่ฉันพยายามทะลึ่งตัวขึ้นให้พ้นน้ำ ฉันกลับมีความรู้สึกว่า ขาของฉันเหมือนถูกดึงเอาไว้ ดันตัวเองเท่าไหร่ ก็ขึ้นไปไม่พ้นน้ำสักที

“อะไรวะเนี่ย...” ฉันสบถในใจ พลางพยายามขึ้นบนผิวน้ำให้ได้ เพราะฉันเริ่มจะกลั้นหายใจไม่ไหวแล้ว แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ก็เหมือนฉันถูกดึงให้ลึกดิ่งลงไปมากเท่านั้น

ในขณะที่ฉันเริ่มรู้สึกว่าจะไม่ไหวแล้ว จู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงหนึ่ง

“ตูม!”

ใช่แล้ว เสียงพ่อกระโดดน้ำลงมาช่วยฉันแน่ๆ ฉันนึกได้เพียงแค่นั้น สติก็ดับวูบไป

หลังจากนั้น ฉันก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางผู้คนที่รายล้อม ทั้งปู่ ย่า พ่อ แม่ และน้องๆ ทุกคนถามเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมฉันถึงจมน้ำ ทั้งที่ฉันก็ว่ายน้ำเก่ง ฉันจึงเล่าให้ทุกคนฟัง ว่าฉันรู้สึกเหมือนกับมีคนมาดึงขา ทำให้ขึ้นไปไม่ได้

พอเล่าจบ ย่าก็ชี้ให้ฉันดูที่ขาของตัวเอง

ฉันตกใจแทบช็อก เมื่อเห็นว่าที่ต้นขาของตัวเองเป็นร้อยจ้ำเขียวเต็มไปหมด และที่สำคัญ พอมองพิจารณาดูดีๆ รอยจ้ำเขียวนั้น เหมือนเป็นรูปของมือคน...

“นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าพรายย้ำ ทีนี้เชื่อย่าหรือยัง”

“แล้วหนูจะเป็นไรมั้ยย่า” ฉันพูดพลางทำท่าจะร้องไห้

“ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวมันก็หายไปเอง จำไว้ว่าทีหน้าทีหลัง อย่าลงไปในคลองเวลากลางคืนอีก มันไม่ใช่เวลาของเรา มันเป็นเวลาของผีสางนางไม้เขา” พ่อปลอบฉัน

เช้าวันรุ่งขึ้น พ่อก็ลงไปงมหาสร้อยพระของฉันจนเจอ และอีก 2-3 วันต่อมา รอยจ้ำเขียวที่ขาของฉันมันก็ค่อยๆ จางไป

ฉันเชื่อสนิทใจ เรื่องผีพรายน้ำ และไม่กล้าลงน้ำตอนกลางคืนอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แล้วยังเชื่ออีกว่า โลกใบนี้ยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็นปะปนอยู่ด้วยอีกมาก อย่างที่พ่อบอกว่า เวลากลางคืน มันเป็นเวลาของพวกเขา ไม่ใช่เวลาของเรา...

ภาพโดย : Pete Linforth จาก Pixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ตรีกาล
ตรีกาล
อ่านบทความอื่นจาก ตรีกาล

เป็นนักข่าว นักเขียน ที่ผันตัวมาเป็นแม่ค้าขายอาหาร แต่ยังรักงานเขียนอยู่นะคะ

ดูโปรไฟล์

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์