อื่นๆ
ย้อนดูวิกฤตต้มยำกุ้ง ฝันร้ายที่ยังตามหลอกหลอน ในสถานการณ์ COVID-19

ขณะนี้สถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 ระบาดทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ส่งผลให้สภาพสังคมและเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก หลาย ๆ ประเทศต้องใช้มาตรการควบคุมไวรัสในขั้นสูงสุด อย่างในประเทศไทยเองก็ได้ออกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา รวมทั้งสั่งปิดสถานที่ให้บริการ สถานบันเทิง และร้านค้าในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องตกงาน หลายคนต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน ส่งผลให้รายได้ลดลง แต่รัฐบาลก็ได้ออกมาตรการเงินเยียวยาอุดหนุนในหลายภาคส่วนด้วยกัน จนเกรงกันว่าเงินคงคลังอาจจะเป็นปัญหา และที่สำคัญเราเริ่มได้ยินชื่อ กองทุนเงินตราระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ บ่อยขึ้น หลังจากที่เราแทบไม่ได้ยินชื่อนี้มาร่วม ๆ 20 ปี

ในปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยของเราเจอกับปัญหาจากการโจมตีค่าเงินบาท เพราะเปิดเสรีให้มีการนำเงินจากต่างประเทศเข้ามาโดยขาดการควบคุม ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มตกต่ำ หุ้นตกลงอย่างต่อเนื่อง การส่งออกที่เคยเติบโตก็ลดลง ทำให้รัฐไทยต้องต่อสู้ป้องกันอย่างหนัก จนทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศแทบไม่เหลือ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องสู้ด้วยการกู้ยืมเงินกองทุนเงินตราระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ และได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท แต่ผลสุดท้ายจากการลอยตัวค่าเงินบาท ประเทศไทยก็เจอกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือที่เรียกกันว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ทำให้ระบบธุรกิจต่าง ๆ ล้มละลายกันเป็นแถบ ๆ โดยเฉพาะธนาคาร สถาบันทางการเงิน ต้องปิดตัวไปมากมาย เพราะคนแห่ถอนเงินจากธนาคารเพราะความกลัวการล่มสลาย คนตกงานเต็มไปหมด ทำให้เป็นปัญหาใหญ่ของสังคม การก่อสร้างขนาดใหญ่หยุดชะงัก หากใครผ่านไปผ่านมาถนนวิภาวดีรังสิต อาจมองเห็นเสาโฮปเวลล์ ซึ่งแทบจะเรียกว่าเป็นอนุสาวรีย์แห่งวิกฤติต้มยำกุ้งกันเลยทีเดียว
Advertisement
Advertisement

ในวันนี้หลังจากวิกฤตการณ์ที่สร้างความเสียหายจากไวรัสโคโรนาจะยังไม่ผ่านพ้นไปก็ตาม แต่เราก็พอมองเห็นอนาคตของสภาพเศรษฐกิจได้ลาง ๆ แล้วว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ความเจ็บปวดจากวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งนั้นอาจจะตามมาหลอกหลอนอีกครั้ง หรือเราอาจจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีจากในอดีตมาบ้างแล้ว อนาคตที่ไม่ไกลจะเป็นคำตอบให้เรา อย่างน้อยที่สุด เราพอจะรู้ได้บ้างว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของโลกและของประเทศไทยนั้น กลไกการบริหารได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนนั้นมากแล้ว อย่างน้อยปัจจุบันนี้กองทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยเราก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่มั่นคง และการระดมทุนขององค์กรภาคส่วนต่าง ๆ ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับธนาคารแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต ทำให้การบริหารความเสี่ยงมีเสถียรภาพ มีช่องทางที่ยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นมากมาย ให้ความสำคัญกับการบริหารและมีวินัยทางการเงินมากขึ้น
Advertisement
Advertisement

เรียกง่าย ๆ ว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนี้ไม่ได้เปราะบางเหมือนในอดีต แต่แน่นอนว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างหนัก จากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนานั้น ยังไม่อาจจะประมาณความเสียหายได้ว่าจะส่งผลสะเทือนต่อรากฐานที่มั่นคงของเศรษฐกิจไทยแค่ไหน ผลกระทบจะเกิดกับคนทุกระดับชั้นมากแค่ไหน คำว่า "ฟองสบู่แตก" คำว่า "ล้มบนฟูก" คำว่า "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" ตอนนั้นหลายคนพยายามพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสจนเป็นที่มาของการ "เปิดท้ายขายของ" แต่ วิกฤติต้มยำกุ้ง นั้นอาจจะเป็นคำที่หลายคนยังจำจนติดอยู่ในใจว่า คนรวยนั้นล้มจริงหรือเปล่า? หรือจริง ๆ แล้ว ภาครัฐมุ่งที่จะช่วยเหลือคนกลุ่มไหนกันแน่ ระหว่างกลุ่มคนชั้นบน กับกลุ่มคนชั้นกลางไปถึงชั้นล่าง สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในวิกฤติครั้งนี้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงย่ำซ้ำอยู่จุดเดิม วิกฤติอาจจะมาพร้อมโอกาสก็จริง แต่ก็ต้องถามด้วยว่าเป็นวิกฤติของใคร และเป็นโอกาสของใครกันแน่
Advertisement
Advertisement
ขอบคุณภาพปก
ภาพประกอบโดยผู้เขียน
ความคิดเห็น






