อื่นๆ

รถเมล์เที่ยวสุดท้าย

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
รถเมล์เที่ยวสุดท้าย

เรื่องมีอยู่ว่า…เมื่อหลายปีก่อน ในคืนวันหนึ่ง หลังจากที่อยู่ทำงานที่บริษัทในวันปิดเล่มของแต่ละเดือน ซึ่งอย่างมากก็เดือนละครั้ง ช่วงนั้นก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว หลังจากจบภารกิจผมเดินออกจากออฟฟิศ เพื่อไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ปากซอย ซึ่งจากออฟฟิศก็ไม่ไกลมากนัก ซึ่งเวลาตอนนั้นก็ได้แต่ภาวนาให้ทันรถเมล์เที่ยวสุดท้าย เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่คืนนั้นท้องถนนเงียบเชียบไร้รถราสัญจร ทั้งที่ในยามปกติมันไม่เงียบจนวังเวงขนาดนี้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังคงเดินอย่างเร่งรีบ และข้ามสะพานลอย ไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงนั้น โชคดีอยู่หน่อยที่ป้ายรถเมล์นั้นมีชาย-หญิงคู่หนึ่งนั่งรอรถอยู่เหมือนกัน ทำให้ไม่รู้สึกว่ามันเงียบเหงามากจนเกินไป

ในที่สุดรถเมล์เที่ยวสุดท้ายก็เข้ามาจอด ผมและชาย-หญิงคู่นั้น ก็รีบขึ้นรถ บนรถเมล์ที่ตอนนั้นมีผู้โดยสารอยู่ประมาณ 5-6 คน หลังจากหาที่นั่งและจ่ายเงินค่าโดยสารเรียบร้อยแล้ว รถก็ออกแล่นไปตามท้องถนนที่เงียบเชียบตามปกติ สักพักรถก็หยุดที่ป้ายแห่งหนึ่งแล้วมีผู้โดยสารอีกสองคนเดินขึ้นรถมา หนึ่งในนั้นแต่งชุดสีแดงแบบโบราณ ซึ่งคนบนรถรวมทั้งผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ผมจึงเอนหลังแล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตา

Advertisement

Advertisement

ทันใดนั้น ผู้ชายที่ขึ้นรถมากับผู้หญิงพร้อมๆ กับผมก็ลุกขึ้นและร้องโวยวายหาว่าผู้หญิงที่ขึ้นรถมากับเขาขโมยกระเป๋าเงินของเขา สีหน้าของเขาดูโกรธมาก และชี้หน้าผู้หญิงพร้อมกับด่าเสียงดังโวยวายลั่นรถ ท่ามกลางความงุนงงของผู้หญิงคนนั้น และแม้ว่าหล่อนจะปฏิเสธยังไง เขาก็ยังคงโวยวายไม่หยุด กระเป๋ารถเมล์เองก็พยายามที่จะห้ามไม่ให้ทะเลาะกันบนรถ แต่เขาก็ไม่ยอม โวยวายจะไปแจ้งความที่โรงพักอย่างเดียวเท่านั้น ในที่สุดคนขับก็ต้องยอมขับไปจอดหน้า สน.พหลโยธิน ซึ่งก็เป็นทางผ่าน แต่อยู่อีกฝั่งของถนน

แต่ทันทีที่รถจอด ชายคนนั้นก็มองหน้าหญิงคนนั้น และบอกให้ลงจากรถ พร้อมขอร้องให้ผมลงไปด้วย อ้างว่าเพื่อให้ช่วยเป็นพยาน เพราะอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ขึ้นรถมาด้วยกัน เมื่อลงจากรถ ชายคนนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง น่าแปลกที่สีหน้าของเขาตอนนั้นไม่มีวี่แววของความโกรธหลงเหลืออยู่เลย หญิงคนนั้นมองหน้าชายแก่ด้วยความงุนงง ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับผม

Advertisement

Advertisement

“ทำไมคุณไม่รีบไปแจ้งความ?” ผมรีบถามชายคนนั้น

“ไม่หรอก” เขาตอบแผ่วเบา “แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่เราลงจากรถคันนั้นมาได้ ผมช่วยชีวิตคุณเอาไว้นะ รู้ไว้ซะด้วย ว่าไอ้ 2 คน ที่ขึ้นมาใหม่ มันเป็นผี! ผมเห็นตอนที่มันเดินขึ้นมา แต่มันไม่มีขา! ผมก็เลยแกล้งทำเป็นโวยวายว่ากระเป๋าสตางค์หายเพื่อที่จะได้ลงจากรถคันนั้น” เขาอธิบายด้วยท่าทางขนพองสยองเกล้าให้ผมและหญิงคนนั้นฟัง ในที่สุด เราทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป หาทางไปต่อกันเอง สำหรับผมก็ต้องเสียเงินนั่งแท็กซี่กลับบ้านจนได้

แต่ระหว่างทางกลับบ้านนั้นเอง...มีรายงานข่าวจาก จส.100 แจ้งว่า มีอุบัติเหตุ รถโดยสารประสานงากับรถบรรทุก บริเวณแยกเกษตร คนขับ พนักงานเก็บค่าโดยสาร และผู้โดยสารซึ่งมากับรถเมล์คันนั้น ได้รับบาดเจ็บสาหัส และบางคน ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล สภาพรถพังยับ และที่สำคัญ รถโดยสารคันนั้น เป็นคันเดียวกับที่ผมเพิ่งจะลงมาเมื่อสักครู่นั่นเอง ที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีใครพบร่างชายชุดแดงโบราณคนนั้นในซากรถ หรือในกลุ่มผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเลย

Advertisement

Advertisement

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมชายคนนั้นสามารถรับรู้ได้ ทำไมเขาถึงเลือกชวนให้ผมลง ทั้งๆ ที่ยังมีผู้โดยสารอีกตั้งหลายคนบนรถ กลับไม่บอกใครเลย แต่เลือกที่จะบอกผมกับผู้หญิงที่ขึ้นมาด้วยเพียงแค่นี้...

แต่จะยังไงก็ตาม ก็ถือเป็นความโชคดีของผมอีกวันนึง...ซึ่งแฝงไปด้วยปริศนา และความหลอน...

ขอเตือนเพื่อนๆ ที่กลับดึกๆ อาจจะเจอเหตุการณ์สยองขวัญแบบนี้เข้าสักวัน…ก็เป็นได้...

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์