รวม 6 เพลงปังที่ จัสตินบีเบอร์ ไปร่วมแจมกับหลากหลายศิลปิน

1.0k

ryuisnow

04 พ.ค. 2022|3 min read

อ่านบทความอื่นจาก ryuisnow

คัดลอกลิงค์

แจ้งตรวจสอบ

เพื่อเป็นการต้อนรับเวิล์ดทัวร์ครั้งใหม่ของ จัสตินบีเบอร์ กับ Justin Bieber Justice World Tour in Bangkok ที่เพิ่งประกาศขายบัตรไปเมื่อวันก่อน และก็ Sold Out ไปเป็นที่เรียบร้อย ใครที่มีบัตรในมือแล้วก็ยินดีด้วย ส่วนทีมนกก็อยากจะบอกว่า พวกที่อัพราคาบัตรใบละเป็นแสนเป็นล้านนี่ อย่าไปหลงกลเชียวนะ โดนหลอกมาเยอะแล้วนะจะบอก

จัสตินบีเบอร์

พักเรื่องซื้อบัตร จัสตินบีเบอร์ ไม่ทันกันสักครู่ วันนี้เรามาพูดถึง 6 เพลงดังที่ จัสติน เคยไปร่วมฟีเจอริ่งให้กับหลากหลายศิลปินในวงการเพลงกันสักหน่อย ซึ่งต้องบอกว่า ปังไม่แพ้เพลงของเขาเองเลยล่ะ และเป็นเพลงที่ส่วนตัวชอบมากครับ

จัสตินบีเบอร์

เริ่มที่เพลง Where Are Ü Now

เป็นอีกหนึ่งผลงานของ Diplo ดีเจ นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์เพลง ชาวอเมริกัน ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Major Lazer มาป๊ะกับเจ้าพ่อ EDM สายหวดอย่าง Skrillex ภายใต้โปรเจกต์ Jack Ü ซึ่งเพลงนี้ได้ จัสตินบีเบอร์ มาร่วมถ่ายทอดความเหงาผ่านบีทสุดตื๊ด เนื้อหาเพลงก็ประมาณว่า ฉันต้องการเธอมากที่สุด เธออยู่ไหน แม้เนื้อหาเพลงจะดูเหงา ๆ แต่เราสามารถเต้นรอคนนั้นได้นะ (คนนั้นคนไหนอะ)

ต่อด้วยเพลง #thatPOWER

จะว่าไปส่วนตัวผมชอบ จัสตินบีเบอร์ ร้องเพลงเร็วมากกว่าเพลงช้านะ เพราะผมรู้จักเขาตั้งแต่เพลง Baby ตอนที่เขายังเป็นเด็กน้อย จนตอนนี้มีภรรยาแล้ว (ฮา) สำหรับเพลงนี้เป็นผลงานโซโล่ของ Will.I.Am จากวง The Black Eyed Peas เพลงนี้ฟังแล้วจะทำให้เรามีพลังตามชื่อเพลงเลยครับ เพราะ Will.I.Am ได้บอกไว้ในเพลงนี้ว่า ตราบใดที่ยังหายใจและยังมีชีวิตอยู่ จงสู้ต่อไป

เพลงที่ 3 Let Me Love You

เป็นอีกเพลงแดนซ์ที่ จัสตินบีเบอร์ ไปร่วมฟีเจอริ่ง คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากสำหรับสำหรับความปังระดับโลกเพลงนี้ เพราะนี่คือเพลง EDM สุดร้อนแรงแห่งปี 2016 ของ DJ Snake โปรดิวเซอร์และดีเจมือหนึ่งชาวฝรั่งเศส คือฮิตข้ามประเทศเลยทีเดียว เพราะทันทีที่ท่อน Don't you give up, nah-nah-nah I won't give up, nah-nah-nah Let me love you Let me love you ขึ้นคือเตรียมแดนซ์ไปแล้วหนึ่ง ยิ่งถ้าใครได้ดูเอ็มวีคือแบบ เล่าเรื่องได้ชวนติดตามนะ คู่รักคู่หนึ่งที่วางแผนการปล้น แต่ท้ายที่สุดจะลงเอยอย่างไร ลองไปชมกันได้

เพลงที่ 4 I Don’t Care

เป็นซิงเกิลที่เซอร์ไพร์สคนฟังเป็นอย่างมาก จนถึงกับเกิดคำถามว่าทั้ง Ed Sheeran กับ Justin Bieber เขาไปฟีทกันตอนไหน ไม่มีข่าวคราวใดใดออกมาเลย จนกระทั่งเพลงนี้ถูกปล่อยมา ความดีงามของเพลงนี้คือนอกจากจะเป็นเพลงจังหวะสนุกๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่โนสนโนแคร์ตามชื่อเพลงแล้ว ก็อย่างที่บอกแหละครับว่า จัสตินบีเบอร์ น่าจะเกิดมาเพื่อร้องเพลงเร็ว (ฮา) ในเอ็มวีคือน่ารักมากอะ เอ็ด กับ จัสติน แต่งตัวเป็นหมี อืม So Cute สุดๆ

เพลงที่ 5 Monster

เบรคอารมณ์มาฟังเพลงช้ากันสักเพลง การคอลแลปของ Shawn Mendes และ Justin Bieber เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม Wonder ของเมนเดส เพลงนี้พูดถึงความอัดอั้นที่มาจากการที่เขาทั้งคู่ล้วนแล้วแต่เป็นคนดัง ที่แน่นอนว่าสปอร์ตไลท์ต้องส่องหาพวกเขามากเป็นพิเศษ และยิ่งท่อนที่ร้องว่า “Then am I the monster yeah, just let me know what if I what if I sin, what if I what if I break” คือเป็นการตัดพ้อเบาเบาว่า ถ้าผมล้ม ผมผิดพลาด กลายเป็นว่าผมคือปีศาจงั้นหรือ อีกทั้งเอ็มวีเพลงนี้ เป็นการถ่ายทำแบบ Long Take น่าสนใจมาก ไปซึมซับความหมายของเพลงและ Mood&Tone ของตัวมิวสิควิดีโอเพลงนี้กัน

เพลงที่ 6 STAY

ตอนแรกที่ฟังเพลงนี้ยังไม่รู้จักตัวศิลปินนะครับ แต่เพลงคุ้นหูมากจากการที่มีศิลปินไทยเอาไป Cover จนมาหาข้อมูลว่าเป็นเพลงของใคร เขาคือ The Kid LAROI ศิลปินหนุ่มวัย 17 ปี ที่ได้ศิลปินรุ่นพี่อย่าง จัสตินบีเบอร์ มาร่วมแจม ซึ่งทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาแล้วในเพลง Unstable หนึ่งในเพลงจากอัลบั้มล่าสุดของ Justin Bieber อย่าง Justice นั่นเอง สำหรับเพลง STAY สามารถทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 บน Billboard Hot 100 รวมถึงมียอดการฟังสตรีมมิ่งเฉพาะในอเมริกามากกว่า 30 ล้านครั้ง เพลงนี้ใครอยู่ในโหมดคลั่งรักต้องชอบเพลงนี้แน่นอน ประมาณว่า เธอแสนดีขนาดนี้ ไม่มีใครดีได้เหมือนเธอ