อื่นๆ

ระหว่างบรรทัดของหัวใจ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ระหว่างบรรทัดของหัวใจ


"อ่านระหว่างบรรทัด" เป็นวลีที่มักมีคนยกมาสอนเราเสมอๆ ตอนหัดอ่านหนังสือสมัยเด็กๆ

-------------------

ความหมายของวลีนี้ คือการชี้ให้คนอ่านหนังสือ รู้จัก 'การอ่านเก็บความ' จากงานเขียนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อถอดเอา'ความหมายที่แท้' ที่อาจไม่ได้เขียนไว้ตรงๆ ออกจากบรรทัดตรงหน้า 

เหตุที่อยู่ๆผมนึกถึงวลีนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะอ่านหนังสือ หรือกำลังเตรียมสอบการอ่านวิชาภาษาอะไรหรอกครับ หากแต่ช่วงระยะหลังนี้ เห็นตัวอย่างมากเหตุการณ์ ที่ทำให้ผมพบและสังเกตว่า บางทีแล้ว ทักษะการอ่านระหว่างบรรทัด ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในการอ่านหนังสือหรอกครับ เผลอๆการหัดมองช่องว่างระหว่างถ้อยคำของบทสนทนา ก็เป็นทักษะคล้ายกันที่นำไปสู่ความหมายที่แท้ในจิตใจของผู้คนตรงหน้าเราเช่นเดียวกัน 

เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไหมล่ะครับ เวลาท่านอยู่กับคนรอบตัว ไม่ว่าจะพ่อ แม่ เพื่อน ลุง ป้า น้า อา

Advertisement

Advertisement

ประโยคต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างที่ผมมักพบเห็น และในวงเล็บคือตัวอย่างการตอบสนองที่ผมมักได้ยินกับหูจริงๆ

เห็นเราเหนื่อย ถามว่าเหนื่อยยังไง (ยังจะถามอีก เหนื่อยก็คือเหนื่อย จะให้อธิบายอะไรอีก)

เห็นเราทำอะไรสักอย่างอยู่ ก็ถามว่า "ทำอะไรอยู่?" (ยังจะถามอีก จะทำอะไรได้อีกล่ะ ก็เห็นๆอยู่)

เห็นเราดูป่วย ก็ตื๊ออยู่นั่นล่ะให้กินน้ำมะนาว ฟ้าทะลายโจร (ตื๊ออยู่นั่นแหล่ะ มั่วมากๆ อ่านไลน์มาน่ะสิ เชื่อเข้าไปได้ไง)

ไม่แปลกที่หลายๆคนอาจได้ยินตัวอย่างนี้ หรือแอบสังเกตตัวเองบางครั้งคิดหรือพูดไปแบบนี้

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับ แล้วที่ผมนึกเขียนเรื่องนี้ในวันสบายๆอย่างนี้ ก็เพียงเพราะนึกขึ้นมาเล่นๆกับตัวเอง 

ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างความคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ปกติๆกับใจใครหลายๆคน รวมถึงผมเองด้วย 

ในวัยยี่สิบสามกว่า ผมรู้สึกโชคดีอย่างนึงที่พอมีโอกาสได้สังเกต และเฝ้ามองถ้อยคำพวกนี้บ่อยๆ และโชคดีที่ได้คำเตือนสติจากผู้คนที่ผ่านทางผ่านประสบการณ์มาก่อนไม่น้อย 

Advertisement

Advertisement

ทำให้ผมพบว่า การหาช่องว่างระหว่างถ้อยคำกับประโยคข้างต้นนี้ หรือทักษะการอ่านระหว่างบรรทัดแบบเดียวกับการอ่านหนังสือนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งมันยังยากและต้องคัดง้างกับความรู้สึกในใจที่ผุดขึ้นและจางหายอย่างรวดเร็วอยู่ตลอด 

หากแต่เป็นเรื่องยากที่สำคัญ สำคัญกระทั่งว่า 

ผมพบตัวเองเป็นคนที่มีความสุขขึ้นอย่างมากหลังจากผมได้เรียนรู้การหาช่องว่างระหว่างถ้อยคำนี้

เช่นเดียวกับการมองโลกด้วยความเปิดกว้าง ใครสักคนบอกผมไว้ว่า จินตนาการทำให้เรามีความสุข

แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไปนะครับ ผมไม่ได้หมายถึงจินตนาการที่เป็นความรู้สึกละเมอฝันหลุดจากความเป็นจริงนะครับ

แต่หมายถึงจินตนาการที่จะมองโลกออกนอกจากกรอบที่ตนคุ้นชิน จินตนาการถึงวิธีคิดแบบอื่น ความเป็นไปได้แบบอื่นๆ หรือแม้แต่โอกาสที่เรา คนธรรมดาคนหนึ่ง จะสามารถเข้าใจผิด คิดไปเอง หลงไปเอง กับถ้อยคำทีได้ยินสั้นๆ และเข้าใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าบิดไปจากความเป็นจริง

Advertisement

Advertisement

จินตนาการจะทำให้เราถ่อมตน อ่อนน้อมต่อความแตกต่าง และ "มองเห็น" สิ่งที่เราอาจพลาดไปตัดสินและนำไปสู่การจมทุกข์อยู่กับมัน กระทั่งมองเห็น สิ่งที่ตัดสินใจกระทำผิดพลาดไป เพราะการมองไม่เห็นโลกที่กว้างกว่าจากการมีจินตนาการเช่นว่านั้น

คุณครับ ต่อจากนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า “ทำอะไรอยู่” อาจไม่ใช่ประโยคคำถามว่าทำอะไร แต่เป็นประโยคชวนคุย หรือต้องการรับฟังเรื่องราวอื่นๆที่คุณกำลังกังวลอยู่

เป็นไปได้หรือไม่ว่า สูตรน้ำมะนาว ฟ้าทะลายโจร ที่คุณได้มาจากช่องกล่องข้อความเขียวๆในไลน์แชทซ้ำๆ ถึงมันอาจเป็นสิ่งคุณค่าน้อยที่ต้องตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือ แต่ที่แน่ๆ ย่อมเป็นคุณค่าอันเล็กน้อยไปเลย เมื่อเทียบกับความรู้สึกห่วงใยที่ใครสักคนตั้งใจมอบให้คุณอย่างจริงใจที่สุด

“เป็นห่วงนะ หวังว่าหนูจะสบายดี ขอให้แข็งแรง” 

บางที นี่อาจเป็นความหมายระหว่างถ้อยคำ ที่ต้นทางไม่เคยได้เอ่ยกล่าว

เป็นไปได้หรือไม่ ผมและคุณอาจมีคำตอบที่ต่างกันไปในใจ แต่สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญ นั่นคือการถามตนเองอยู่เสมอว่า “เป็นไปได้หรือไม่ ?” สิ่งนี้นั่นแหละครับคือ “จินตนาการ” ที่ผมชวนคุณคิด

ไม่แน่นะครับ

อีกไม่นาน แม้กับประโยคธรรมดาๆอย่าง “กินข้าวหรือยัง” ครั้งต่อๆไปที่คุณได้ยิน ก็อาจทำให้คุณชุ่มชื่นใจไปอีกนาน ว่าชีวิตคุณงดงามเพียงใด และโชคดีเพียงใดที่มีคนกำลังห่วงใย และอยากพูดคุยกับคุณจริงๆ มากกว่าอยากรู้ว่าคุณจะปรุงอะไรในมื้อนั้นบ้าง


สิ่งพวกนี้ประกอบกันทำให้ผมพบมุมมองที่ต่างออกไป และมีความสุขกับสิ่งรอบตัวได้ง่ายขึ้นมาก เพราะสิ่งที่ไม่เคยสังเกตเห็นได้เผยออกมา และเพราะเราไม่ต้องไปเสียเวลากับความทุกข์ที่ไม่จำเป็น ซึ่งเกิดจากความคิดของเราเอง

--------------------

ชวนมองลึกลงไปอีกขั้น

ถ้าทักษะการบรรยายความคิดของผมไม่เลวร้ายเกินไปนัก คุณก็คงจะพอเห็นตัวอย่างแล้วว่า 

บางครั้งสิ่งที่มากระทบใจเรา กับสิ่งที่เรารู้สึกนั้น ตอบสนองต่อกันอย่างไร และรวดเร็วเพียงใด

ดังนั้นถ้าผมจะเสนอว่า “สิ่งที่เรารับรู้ในแต่ละวันนั้น อาจไม่ใช่ความจริง” ขึ้นมาบ้าง ท่านผู้อ่านก็อย่าหาว่าผมบ้านะครับ ชวนคิดต่อสนุกๆครับ

ผมมาพบว่า การแสดงออกของคนเราเป็นกระจกสะท้อนของมุมมอง ทั้งการแสดงออกโดยถ้อยคำ สีหน้า ท่าทาง เหล่านี้เป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่คนเรามองเห็น 

ใช่หรือไม่ พวกเราไม่ได้มองเห็นมุมมองเป็นอย่างแรก สิ่งที่เราเห็นเป็นอย่างแรกเสมอคือถ้อยคำ ใช่ครับ เรา ได้ยิน ถ้อยคำ 

ถ้อยคำจึงไม่ใช่ความจริง แต่เป็นผลลัพธ์จากมุมมองในตัวของผู้เอ่ยถ้อยคำ

ส่วนมุมมองของคนต่อสิ่งรอบตัวนั้นก็ขึ้นอยู่กับการรับรู้อีกทีหนึ่งว่าเรารับรู้อะไรได้บ้างจากถ้อยคำนั้น รับรู้ได้เท่าไหร่ และมีความสามารถในการแปลผลมันอย่างไรแค่ไหนบ้าง

มุมมอง(ของเรา)จึงไม่ใช่ความจริง แต่เป็นผลลัพธ์ของการรับรู้และการคิดที่จำกัดของเรา

เช่นนี้แล้ว 

ถ้อยคำจึงไม่ใช่ความจริง

และมุมมองย่อมไม่อาจเป็นความจริงโดยสมบูรณ์

ถ้าท่านผู้อ่านสนใจเรื่องถ่ายภาพหน่อยอาจนึกเล่นๆสนุกก็ได้ว่า 

“การรับรู้”เหมือนเลนส์รับแสง ฉากหรือเซนเซอร์รับแสง ความคมชัด ความหยาบ ในการเก็บภาพตรงหน้า คุณภาพกล้องมีส่วนสำคัญ

“มุมมอง”เหมือนสไตล์ภาพจากกล้องแต่ละยี่ห้อ มีความเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามพื้นเพของกล้องนั้น 

และสุดท้าย “การแสดงออก” ก็คือภาพที่ปริ้นออกมาให้ได้ชม เป็นผลสุดท้าย

วัดระฆัง

อาจเป็นเพราะกล้องที่คุณภาพไม่ได้ดีนักหรือเปล่า ที่ทำให้ความละเอียดในการรับรู้ของเรานั้นหยาบ และเก็บรายละเอียดได้ไม่ครบในบางครั้ง

และอาจเป็นเพราะกล้อง (หรือถ้าเป็นกล้องฟิล์มก็คือม้วนฟิล์มที่เราใส่) ที่เราถือในใจอีกเช่นกันหรือเปล่านะ ที่ผ่านร้อนหนาว ผ่านเรื่องราวต่างๆจนทำให้เรานำสิ่งที่รับรู้อย่างจำกัดนั้นมาสร้างภาพที่ให้โทนสีแบบเฉพาะตัวของเราบนฟิล์มของเรา เกิดเป็นภาพที่มีโทนสีหมองๆ หรือเศร้า ไม่สดใสเท่ากล้องหรือม้วนฟิล์มยี่ห้ออื่นๆ

นี่คงเป็นเรื่องปกติ และคงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเราเข้าใจกล้องที่เราทุกคนถืออยู่ 

เราเข้าไม่ถึงความจริง 

หากมิใช่จากการรับรู้ที่บิดเบี้ยวไม่ครบส่วน ก็คงเป็นจากความเข้าใจที่บิดเบี้ยวไปตามมุมมอง

ทั้งหมดนำไปสู่การแสดงออกที่บิดเบี้ยว บิดไปจากสิ่งที่ผมเชื่อว่าทุกคนโดยเนื้อแท้แล้วคงอยากให้มันเป็น

ผมเชื่ออย่างแรงกล้าว่ามนุษย์เราทุกคนโดยพื้นฐานย่อมไม่อยากหมกมุ่นกับเรื่องที่ไม่ดีกับสุขภาพตนเอง โดยเฉพาะสุขภาพจิต คงไม่มีใครชอบให้ถูกกล่าวร้าย และคงไม่ได้ชอบกล่าวร้ายต่อใคร คิดร้ายต่อใคร หรือแม้กระทั่งทำร้ายใครเป็นทุนเดิม

มนุษย์มีบางอย่างปิดกั้น เบี่ยงเบนแสงที่นำภาพมากระทบใจ ให้บิดไปจากความเป็นจริง 

เรามี ”กล้องในใจ” ในแบบของตนเอง ภาพที่ได้จึงแตกต่างกันเป็นธรรมชาติ

มองเผินๆความจริงของเราจึงต่างกัน

มองให้ลึกความจริงที่เราคิด จึงไม่ใช่ความจริง

ใช่หรือไม่ เราควรเผื่อใจว่ามีวิธีคิดแบบอื่นอีกมากนอกเหนือจากวิธีคิดที่ตัวเรามี เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย พวกเราทุกคนต่างมีความหลัง มีประสบการณ์ มี “กล้องในใจ” ของตัวเอง

ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะพยายามลองจินตนาการ ไปนั่งในใจคนอื่นให้เป็น จินตนาการหาความหมายอื่นที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำตรงหน้า เพื่อ “เข้าใจ” ผู้คนได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น และ ”ไม่ตัดสิน” สิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยการรับรู้ที่จำกัดของตนเอง

คนเราพกกล้องประจำตัวอยู่ตลอด พวกเราถือกล้องในใจตัวนั้นเดินทางท่องชีวิต และเติบโตไปพร้อมๆกับมัน 

จริงอยู่ ทั้งผมและคุณอาจไม่สามารถเข้าถึงความจริงที่สุด แต่การมีจินตนาการถึงกล้องแต่ละแบบที่คล้องอยู่ในใจ ”เพื่อนร่วมทาง” เราทุกคน ย่อมจะเป็นประตูบานแรกสู่การเข้าใจตนเองและเข้าใจผู้อื่นมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน

เราจะมีความสุขขึ้นหรือไม่เมื่อเราเข้าใจ เราจะขัดแย้งน้อยลงหรือไม่เมื่อเรามองเห็น”ภายใน”ความคิดผู้คน

ผมไม่อาจหาญพอที่จะบรรยายคำตอบแทนทุกคน แต่แน่นอน มันเป็นสิ่งที่ผมอยากชวนให้ทุกคนได้สัมผัสมันอย่างน้อยสักครั้ง

------------------

กลับมาที่ประโยคตัวอย่างต้นบทความ การอ่านความคิดระหว่างบรรทัด และการอ่านช่องว่างระหว่างถ้อยคำ

ผมมานึกดูก็พบอีกปัจจัยที่มีผลมากๆ ปัจจัยนี้ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงคำพูดของอาจารย์ท่านหนึ่ง

ศิริราช

"สายตาคนเรามักจับจ้องจุดดำ หรือสิ่งผิดปกติ ยิ่งพวกเราเรียนแพทย์ เรามักถูกสอนมาให้ไวต่อสิ่งผิดปกติ" อาจารย์ท่านหนึ่งเคยพูดเตือนสติไว้

ว่าเรา detect abnormalities (จับความผิดปกติ) หรือ clues ของ disease (หารอยโรค) ได้เก่ง และติดกับดักของการการพยายามไป fix คือมัวแต่ไปมุ่งแก้ไขความผิดปกตินั้นจงหลงลืมมุมมองอื่น

“ กินน้ำมะนาว ฟ้าทะลายโจรสิ.. “ แม้แต่ผมเอง ก็ยังเผลอรู้สึกโต้แย้งในใจทันทีที่ได้ยิน

เหล่านี้คือ

ข้อมูลที่ฟังไม่เข้าหู 

คำพูดที่ไม่ถูกต้องกับชุดข้อมูลของเรา

อาจารย์ นพ.โกมาตร เป็นท่านหนึ่งที่พูดอยู่เสมอเรื่องความสำคัญของความเป็นมนุษย์ ท่านมักชี้ว่า เรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ ยิ่งปัญหาต่างๆ ไม่มีทางแก้ไขได้โดยใช้เพียงเหตุผลและความรู้สึก เพราะ ราไม่มีทางมองได้รอบด้านได้จริง หากไม่ใช้ใจที่มีความเป็นมนุษย์เขาไปสังเกต

(ผมคิดเอาเองว่าท่านหมายถึง การใช้ความรู้สึก ต่างกับการใช้ความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะความรู้สึก ที่แยกตัวเองออกจากคนอื่น ไม่พิจารณามองตัวเองและคนอื่น เอาใจคนอื่นมาใส่ใจเราซึ่งต่างก็เป็นมนุษย์เช่นกัน)

การมองด้วยใจที่มีความเป็นมนุษย์ เป็นการใช้ทักษะ (skill) ที่มากกว่าเรื่องของตรรกะ มากกว่าเรื่องของความรู้สึกพื้นฐานที่ตอบสนองอย่างฉาบฉวย 

หากคือการเฝ้าสังเกต ใช้หัวใจที่เปิดกว้าง ไม่ตัดสิน และความพยายามเข้าใจความเป็นมนุษย์ของคนแต่ละคน

“กินน้ำมะนาว ฟ้าทะลายโจรสิ” 

ผมเชื่อว่า ถ้าเรามองเข้าไปในใจของผู้พูด ต่อไป การได้ยินประโยคนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าหงุดหงิดอย่างที่คิดนัก 

(ซึ่งเป็นคนละส่วนกับความสำคัญที่ยังมีอยู่ในการหาโอกาสสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้เขาตามหลักวิชาการนะครับ)

ถึงตรงนี้ ผมย้อนกลับไปคิดถึงอีกเหตุการณ์ที่เจอบนถนนใหญ่ ระหว่างทางกลับบ้านวันเสาร์ที่ผ่านมา (คิดย้อนอีกแล้ว ถ้าเริ่มเวียนหัวจะหยุดอ่านก่อนค่อยกลับมาอ่านต่อก็ดีนะครับ)

รพ.ที่ที่ทำให้ผมพบความงาม

คุณคนขับแท็กซี่คนนี้ของผมพูดอยู่แต่เรื่องรถที่ตัวเองขับครับ แกพูดถึงแต่ เรื่องเส้นทาง ถนน เทคนิคการขับ  หรือเรื่องชวนให้ภูมิใจเกี่ยวกับความสามารถการขับรถของแก ยิ้มด้วยความมั่นใจและมีความสุข

ส่วนผม ระหว่างทางก็ใส่หูฟัง ฟังเพลงที่ชอบไปด้วยความรู้สึกดีๆที่มีในวันนี้ ในทำนองเพลงที่บรรเลงอยู่ ผมสังเกตเห็นปากคุณแท็กซี่ขยับพูดอยู่ตลอดแต่ผมไม่ได้ยินอะไรเลย คุณแท็กซี่ดูเหมือนจะพยายามเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟังหลายรอบจนรู้สึกได้ตลอดทาง พี่แกเล่าไม่หยุดจนรู้สึกเกรงใจแทบทุกที จนท้ายที่สุด ผมก็เป็นฝ่ายต้องถอดหูฟังออกมาฟังสิ่งที่แกเล่า 

พี่แกเล่าแต่เรื่องรถที่ตนขับ เทคนิคการขับเปลี่ยนเลน การกะจังหวะ เทคนิคเข้าเกียร์ เหลี่ยมการขับรถทุกชนิดที่แกมีประสบการณ์  คล้ายกัปตันเรือที่ชำนาญร่องน้ำที่อยากถ่ายทอดวิชาให้ต้นหนคนใหม่รู้จัก

นึกในใจ บางที “เรื่องที่เขากำลังเล่า” ถึงจะเป็นเรื่องรถ แต่ ”สิ่งที่เขากำลังเล่า” อาจไม่ใช่เพียงเรื่องรถ

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ภายใต้อมยิ้มของแกเวลาถ่ายทอดเรื่องที่ตนเองถนัดได้อย่างไหลลื่น คือความรู้สึกภูมิใจในเรื่องที่แกรู้สึกว่าแกทำได้ดี ถ้ามันอาจเป็นเรื่องไม่กี่เรื่องที่แกมั่นใจอย่างที่สุด หรือทำแล้วสบายใจ มีความสุขที่สุด

ถ้าโชคดีคิดได้แบบนี้แล้ว ทำไมเราถึงจะไม่ยินดีไปกับเขาด้วยล่ะ 

การแสดงออกถึงความมั่นใจในพวงมาลัยที่สองมือของตัวเองควบคุม ชวนให้ตั้งคำถามว่า เบื้องหลังชีวิตเขาผ่านอะไรมา และเขานึกอะไรอยู่ในใจ

ยิ่งถ้าคิดว่าเขากำลังแสวงหาไมตรีจากเพื่อนคนแปลกหน้ามาเติมเต็มความอบอุ่นในชีวิตการทำงานบนท้องถนนที่ตึงเครียด เราจะหยิบยื่นไมตรีให้เขาหรือเปล่า เพียงเอ่ยปากทักทาย

หากบทสนทนาในยามอ้างว้างใจจะเป็นเครื่องขัด คลายกังวลให้เขาได้ เราจะอยากนั่งฟังเป็นเพื่อนเขาหรือเปล่า 

ถ้าผมเป็นคนที่คิดผิด จินตนาการไปเองว่าเขากำลังเล่าเรื่องที่ทำให้มีความสุข ก็ยังชวนคิดต่อได้อยู่ดีกว่า เขาชวนคุยทำไม (แน่นอนว่าการชวนคุยเพื่อล่อลวงเราต้มตุ๋นนั่นก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้) แต่ผมเชื่อว่าความรู้สึกอยากชวนคุย อย่างน้อยๆย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากอารมณ์ด้านลบได้

สิ่งสำคัญคืออารมณ์จะเปลี่ยนทันทีนะครับ จากเดิมที่เราอาจเพ่งไปมองว่าการเล่าเรื่องของเขาเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรา ซึ่งเราก็จะมุ่งไปมองว่าเราไม่ได้อยากรู้ หรือเป็นเสียงที่กำลังทำลายความสงบของเรา ความรู้สึกรำคาญก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดจริงๆนั่นแหละ

แมว คน

ที่ผมจะบอกคือความรู้สึกใดๆที่เกิดจากการมองโลกต่างมุมออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะชี้ผิดถูก หรือวัดระดับคุณธรรมอะไรได้เลยครับ 

ถ้าเราไม่พร้อม หรือกำลังเหนื่อยกายที่สุด ผมก็เข้าใจว่าหลายครั้งแม้แต่ผมเองก็อยากจะตัดโลกออกไปแล้วอยู่พักกับใจตัวเอง การไม่คุย ไม่คิด ไม่เปิดรับ ไม่ใช่ความเรื่องเลวร้ายเลย

เพียงแต่ว่า ผมเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อไหร่ที่เราพร้อม และเราระลึกได้ ถึงการมองใจคนอื่นอย่างที่ผมเสนอ

ถ้าเราทุกคนมีโอกาสสัมผัสความรู้สึกที่ต่างออกไป จากการได้ยิน “สิ่งที่เขากำลังเล่า” ดูบ้างสักครั้ง

เมื่อนั้น คุณจะมองเห็นความสวยงามและละเอียดอ่อนของความเป็นมนุษย์ 

และพร้อมๆกันนั้นเอง บางที ถ้าคุณกำลังสับสนในคุณค่าของตนเอง การได้หยุดนิ่ง เฝ้าสังเกต ธรรมชาติความเปราะบางไม่สมบูรณ์แบบของใจคนเราทุกคน 

ก็อาจทำให้เห็นคุณค่าของตัวเองต่อคนรอบข้างและสิ่งที่ตัวเองมีมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย

บางครั้งคนเราหลับตาเพื่อได้ยินบางสิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน 

เราเงียบแล้วฟังเพื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ต่างออกไป

เราเงียบในใจเพื่อมองเห็นรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ในคนเราทุกคน

“ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง เกิดจากความเงียบที่เลิศล้ำ”

เพราะเมื่อเรา “นั่งเฉยๆแล้วรอ โลกจะเผยตัวออกมาเอง”

อยู่ๆคำกล่าวของ Jone Lane และ Kafka ก็เชื่อมถึงกันได้อย่างกินใจ

-------------

เขียน : ต้นแสง

แรงบันดาลใจ : จากทุกคนที่ผ่านมาในชีวิต

รพ.ชัยนาทนเรนทร

24/5/2564

พระนคร

ภาพ : ถ่ายโดยผู้เขียนบทความ


เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์