ลูกสะไภ้กะเทย

เชื่อว่าสังคมไทยทุกยุคสมัยคงคุ้นชินกับคนที่มีเพศสภาพที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิดเป็นอย่างดี ซึ่งส่วนใหญ่จะมีบุคลิกลักษณะท่าทางกระตุ้งกระติ้งเหมือนผู้หญิง แต่ลักษณะทางกายภาพของเขาเหล่านั้นยังคงเป็นเพศชายอยู่ จึงทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ขานเรียกตามเพศสภาพโดยใช้คำนำหน้านามให้กับพวกเธอว่า"กะเทย, ตุ๊ด, สาวประเภทสองหรือเรียกอีกอย่างก็คือ"เพศทางเลือก"

Credit : https://pixabay.com/photos/woman-pretty-girl-hair-beautiful-837156/

หลายครั้งที่ต้องเจอกับคำถามที่ไม่อยากตอบ "ทำไมถึงเป็นกะเทย?" ขอบอกตรงๆว่าไม่ได้อยากเกิดมาในเพศสภาพครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้หรอก แต่ทำอย่างไรได้เมื่อบุญทำกรรมแต่งให้เราเกิดมาในเพศสภาพเช่นนี้ และเราก็ควรมีความสุขกับการใช้ชีวิตให้เป็นปกติเฉกเช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ ในสังคม แม้ว่าบางครั้งเพศที่สามอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนบางกลุ่มหรือบางสังคมที่ยังมีการแบ่งชนชั้นตามเพศกำเนิด แต่กระนั้นแล้ว ทุก ๆ สังคมก็ยังคงมีเพศที่สามอยู่ในทุกพื้นที่ของสังคมนั้น ๆ เสมอ และไม่มีอะไรที่จะมาทำลายความเป็นตัวตนของพวกเธอได้ เพราะว่าเพศที่สามก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้สึก, มีความฝัน, ความหวังและมีความสามารถที่ไม่ต่างจากเพศชายหญิงปกติทั่วไป

คงไม่ต้องพูดอะไรมากนัก หากจะกล่าวว่ากะเทยหรือสาวประเภทสองส่วนใหญ่มีศักยภาพเป็นเลิศไม่ต่างจากเพศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา,ความรู้ความสามารถ,ทักษะพิเศษทางด้านอื่นๆ โดยจะเห็นจากตัวอย่างบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมไทยที่เป็นเพศที่สามไม่ว่าจะเป็นดารา,นักร้อง, นักแสดง,นางแบบหรือแม้กระทั่งนักวิชาการต่างๆ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นได้ใช้ความรู้ความสามารถที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพอันล้นเหลือออกมาสร้าง     ปรากฎการณ์ให้คนในสังคมได้เห็นเป็นที่ประจักษ์มานักต่อนักแล้ว จึงทำให้เพศที่สามหรือสรรพนามใหม่ที่สังคมหยิบยื่นให้ก็คือ"เพศทางเลือก" ใช้พิสูจน์ตัวตนจนเป็นที่ยอมรับและมีพื้นที่มากขึ้นในสังคมตามลำดับในยุคปัจจุบัน

Credit : https://pixabay.com/photos/woman-portrait-face-model-beauty-660806/

หากจะพูดถึงเรื่องอื่น ๆ ของเพศที่สามนั้นก็คงไม่พ้นในเรื่องของ"ความรัก" ซึ่งเป็นความรักระหว่างเพศเดียวกันนั่นเอง ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นตามครรลองคลองธรรมของความน่าจะเป็นตามหลักของกฎธรรมชาติ จึงทำให้คนในสังคมอีกมากมายที่ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในความสัมพันธ์ดังกล่าวของเพศสภาพแบบนี้ ถ้าจะเอ่ยในแง่ของความรักมันก็ไม่แตกต่างไปจากเพศชายหญิงทั่วไปหรอก ที่มีความรักจากหัวใจซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทรต่อกันอย่างบริสุทธิ์ใจ หลายคนอาจจะคิดว่า"ความรักของเพศที่สามมันไม่จีรังยั่งยืนไม่มีอะไรมากมายนอกจากคำว่าเซ็กส์ " เพราะว่าความสัมพันธ์แบบนี้ มันไม่มีอะไรมาผูกมัดให้เป็นพันธะสัญญาผูกพันทางจิตใจเสมือนชายหญิงที่เขาสามารถมีบุตรเอาไว้สืบเชื้อสายหรือสืบสกุลได้ แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของความรักนั้นไม่ว่าจะเป็นใครหรือเพศสภาพแบบไหน ความรักนั้นมันไม่ต่างกันหรอกเพราะคำว่า"เพศสภาพ"ไม่สามารถวัดคุณค่าทางจิตใจได้และไม่มีใครสามารถออกแบบความรักให้เกิดเป็นรูปธรรมได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นความรักของเพศที่สามจะประสบความสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหนหรือไม่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยว่า เขาจะสามารถแสดงความรักที่มีต่อกันให้ออกมาในรูปแบบไหนและในแง่ของความรักนั้นมันให้อะไรกับตัวเองและสังคมบ้าง

Credit : https://pixabay.com/photos/girl-lying-down-autumn-girl-beauty-2010387/

หากจะกล่าวในอีกแง่มุม ถ้าคนสองคนตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่ได้สร้างความเดือดร้อนใด ๆ ให้สังคม มันก็คงไม่แปลกอะไรใช่หรือไม่      แม้ว่าความสัมพันธ์ของเรานั้นอาจจะคัดค้านสายตาของใครหลายคนอยู่ไม่น้อย รวมทั้งความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของเพศสัมพันธ์หรือเซ็กส์ เชื่อว่าไม่มีใครกล้าถามแม้ว่าจะมีความกระสันใคร่รู้ใครเห็นมากน้อยเพียงใดก็ตาม แต่กระนั้นแล้วก็คงไม่มีใครกล้ายืดอกพกถุงที่จะออกมาพูดเรื่องเหล่านี่ให้คนอื่นรับรู้กันหรอก เพราะว่ายังมีเส้นบาง ๆ ในแง่ของการใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับคนอื่น ๆ อยู่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ความเข้าอกเข้าใจของคนในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมากกว่า เพราะว่าคนในครอบครัวคือตัวแปรสำคัญที่จะผลักดันให้ความรักของบรรดาเพศที่สามได้ไปต่อ หลายคนวิ่งเข้าเส้นชัย และอีกหลายคนต้องหยุดกลางทางแล้วชูมือยกธงขาวพ่ายแพ้ให้กับความรัก ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีสาวประเภทสองหรือกะเทยในสังคมหลายคนที่โชคดีในเรื่องของความรักอยู่บ้าง หลายคู่ได้แต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราวโดยมีการจัดงานแต่งตามประเพณีเฉกเช่นชายหญิง นั่นหมายถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่ายยอมรับในความรักของเธอและเขา ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อย ๆ ทุกคนยังให้เกียรติและเคารพในสิทธิเสรีภาพของเพศที่สามอยู่ จึงส่งผลทำให้เพศทางเลือกหลายคนได้ยืนอยู่ในจุดเดียวกันกับหญิงแท้ในฐานะ"ลูกสะไภ้"

Credit : https://pixabay.com/photos/bloom-blossom-bouquet-bride-1836315/

แต่ในมุมกลับกันก็ยังมีอีกมากมายที่ไม่ประสบความสำเร็จในความรัก แม้ว่าบางคนจะมีการทำศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วเรียบร้อยก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่มักจะมองความรักของเพศที่สามเป็นแค่เพียงความฉาบฉวย หรือพฤติกรรมทางความใคร่เท่านั้น ทำไมคนในสังคมมักจะตีค่าความรักของเพศที่สามเป็นเครื่องวัตถุมากกว่าจิตใจ โดยบริบทเหล่านั้นจะต้องมีข้าวของเงินทองหรือของมีค่าอื่นๆมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนถึงจะได้ความรักตอบแทนกลับไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สาวประเภทสองหรือกะเทยจำนวนไม่น้อยที่นิยมใช้เงินและของมีค่าเพื่อทุ่มทุนสร้าง นำมาเป็นตัวหลอกล่อให้กับอีกฝ่าย ยอมควักจ่ายซื้อความรักให้กับตัวเอง แม้ว่าการกระทำเหล่านั้นมันจะเป็นแค่ความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเสมือนการหลอกตัวเองก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วผลที่ออกมามักจะไม่สวยงามเสมอไป มันเป็นความเจ็บที่ต้องจ่ายจริง ๆ หรือ? ซึ่งเรื่องเหล่านี้หลายคนก็ยังคงตามหาคำตอบกันอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดั่งคำกล่าวที่ว่า "ของแบบนี้ถ้าตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย"

Credit : https://pixabay.com/photos/man-woman-couple-piggyback-love-802062/

แต่สิ่งสำคัญในแง่ของความรักนั้น อันที่จริงแล้วไม่มีสิ่งของใดมาตีเป็นมูลค่าแทนความรักได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตามแต่ เพราะว่าความรักที่แท้จริงมันต้องใช้จิตใจหรือความรู้สึกที่ดีต่อกันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และการยอมรับในตัวตนของกันและกันก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญ ถ้าหากใครสักคนจะรักเรา เขาคนนั้นจะต้องรักในความเป็นตัวตนของเรา, ให้เกียรติในความเป็นเราและบอกกับสังคมได้ในในแง่ของความสัมพันธ์ อย่างน้อย ๆ ก็กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนของเราให้กับครอบครัวได้รับทราบในฐานะ"ลูกสะไภ้กะเทย" แม้ว่าสะไภ้เพศทางเลือกอย่างฉันอาจจะไม่มีอะไรครบพร้อมเฉกเช่นเพศหญิง แต่เราก็พร้อมที่จะพิสูจน์ตัวตนด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เพื่อให้ทุกคนรอบข้างยอมรับและให้เกียรติเสมือนคนอื่นๆในสังคมได้อย่างไม่อายใครเช่นเดียวกัน

Credit : https://pixabay.com/photos/bokeh-people-couple-kiss-man-2594745/

ท้ายที่สุดแล้วตัวเราเชื่อมาเสมอว่า ความดีจะสามารถชนะทุกอย่างได้ มันชนะได้แม้กระทั่งหัวใจพ่อแม่ของอีกฝ่ายและชนะใจคนในครอบครัว ตลอดจนวงศาคณาญาติ ซึ่งทุกคนให้การยอมรับตัวตนของฉันเสมือนเป็นลูกหลานอีกคน ด้วยความโชคดีเหล่านี้จึงทำให้ชีวิตของกะเทยคนหนึ่งใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติและมีความสุขที่สุดเท่าที่กะเทยหลาย ๆ คนใคร่ครวญถวิลหา โดยที่ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในแง่ของความสัมพันธ์อีกต่อไป และไม่ต้องตอบคำถามใครอีกถ้าหากมีคนถามเราว่า"เรากับเขาเป็นอะไรกันหรือ?" เพราะการคิดดีทำดีทั้งกาย,วาจาและใจที่เรายึดถือปฏิบัติตามหลักพรหมวิหารสี่ ในทางธรรมนั้นอาจเรียกว่า "ผลบุญ" ซึ่งเราเชื่อว่าด้วนเหตุเหล่านี้คงเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ส่งผลให้เราได้ยืนอยู่ในสังคมอย่างสง่างามโดยไม่อายใคร เราขอขอบคุณผู้คนรอบข้างที่ชื่นชมฉันมาตลอดว่า "ฉันโชคดีกว่าผู้หญิงหลายคน" ฉันกล่าวขอบคุณพร้อมยิ้มรับเอาไว้อย่างสุดหัวใจ และฉันจะรักษาความโชคดีเหล่านี้เอาไว้ตราบนานเท่านานนะคะ ฉันสัญญาค่ะ จากใจ"ลูกสะไภ้กะเทย"

Credit : https://pixabay.com/photos/couple-kissing-lying-relaxing-1612679/