อื่นๆ

ศึกชิงภพ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ศึกชิงภพ

ดิฉันเริ่มมองเห็นผีตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก และเป็นคนกลัวผีมาก อายุที่มากขึ้นแต่ละปี ไม่ได้ช่วยให้ความหวาดกลัวนั้นลดลงแม้แต่น้อย และการมองเห็นผีก็กลายเป็นเรื่องสยองทุกสัปดาห์ ไม่ว่าเครื่องราง ของขลังอันใด ก็ไม่สามารถช่วยเหลือดิฉันให้รอดพ้นจากคุณสมบัติอันไม่พึงประสงค์นี่ได้เลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงไหนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นั่งสมาธิเมื่อไหร่ เป็นต้องขนลุก ออกจากสมาธิเมื่อไรต้องได้เจอผีทุกที ใครๆ ก็มักพูดปลอบใจส่งๆ ว่า "มีบุญไง ผีเลยมาขอส่วนบุญ" ตัวฉันไม่เคยเชื่อเลยว่าตัวเองเป็นคนมีบุญ คนมีบุญควรจะมีชีวิตสงบๆ ต้องไม่มีผีมารบกวนสิ แม้จะเข้าใจความจำเป็นของเหล่าบรรดาผีๆ ที่ต้องมารบกวนความสงบสุขในชีวิตของดิฉัน แต่ดิฉันก็ยังไม่ชอบอยู่ดี เวลานั่งสมาธิหรือทำบุญทำกุศลอะไร อนุโมทนาเอาเองเงียบๆ ไม่ได้เหรอ จะต้องมาทำให้รับรู้ถึงการมีอยู่ทำไมกัน ทำแบบนี้ไม่อยากนั่งสมาธิเลย

Advertisement

Advertisement

ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น แต่ดิฉันก็ยังทำบุญ ทำกุศลอุทิศให้แก่เหล่าผีอยู่เป็นประจำ 

ผีที่มาขอส่วนบุญ เป็นผีที่ไม่ได้ต้องการวุ่นวายอะไรกับเรามากมาย แต่ผีที่ไม่ได้มาเพื่อขอส่วนบุญ หรือมาแบบโหดๆ จนบางครั้งคิดว่าจะไม่รอดชีวิต ผีแบบนี้นี่ก็ไม่อยากจะเจอเลย ทำไมเราถึงไม่มีทางเลือกเลย จะต้องอยู่ในวัฏจักรนี้ไปอีกกี่ชาติกี่ภพ ฉันยังคงเบื่อเซ็งชีวิต ที่ต้องรับบทเป็นผู้ให้ โดยที่ไม่เต็มใจทุกวันพระ และทุกโอกาสที่เหล่าผี จะสามารถสื่อสารกับดิฉันได้ 

มันต้องมีทางสิ ฉันอาจจะยังค้นหาไม่ดีพอ

"หลวงพ่อคะ ลูกสาวกลัวผีมากๆ เลยทำยังไงให้เขาหายกลัวคะ"  คุณแม่ของฉันกล่าวถามหลวงพ่อ ด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ ที่ดิฉันช่างโง่เง่าหวาดกลัวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

"มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นแหละโยม ที่ไม่มีความกลัว" หลวงพ่อตอบด้วยน้ำเสียงสงบ ใบหน้าเรียบเฉยแต่แฝงด้วยความเมตตา คุณแม่ของดิฉันถึงกับนิ่งไป เมื่อได้ฟังคำตอบของหลวงพ่อ ส่วนตัวฉันเอง รู้สึกเห็นด้วย แต่ก็รู้สึกสิ้นหวังในการจัดการกับความกลัว

Advertisement

Advertisement

"เขามาก็แผ่เมตตาให้เขาไป เดี๋ยวก็ชินเอง" หลวงพ่อยังคงยืนยันคำตอบเดิม 

เมื่อดิฉันเดินทางกลับมาจากการศึกษาที่ต่างประเทศ ดิฉันต้องกลับมานอนที่ห้องนอนเดิมของตัวเอง สถานที่ ที่ดิฉันเจอผีเยอะที่สุด  แต่ในครั้งนี้ดิฉันไว้ตกลงใจที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง ด้วยการเผชิญหน้ากับความกลัว 

ดูลงไปที่ความกลัว มันกลัวอะไร ความกลัวมันอยู่ที่ตรงไหน 

หัวใจของดิฉันเต้นรัว ภายใต้ห้องที่มืดมิด

ฉันจะไม่เปิดไฟนอน ฉันจะนอนดูความกลัวของตัวเอง

ถ้ามันจะกลัวจนตายก็ให้มันตายลงไป 

ฉันโมโหตัวเอง ที่กลัวจนตัวสั่นไปหมด 

มันจะกลัวอะไรนักหนา ขนลุกทั้งตัว แม้กระทั่งขนหัว 

กลัวเหมือนหัวใจจะวาย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ดิฉันนอนพลิกไปมา ก็พบว่า ท่านอนแต่ละท่าส่งผลให้ปริมาณความกลัวแตกต่างกัน

ทุกๆ คืน ดิฉันใช้เวลาหลายชั่วโมง อยู่กับความกลัว กว่าจะนอนหลับก็เป็นเวลาเกือบเช้า

Advertisement

Advertisement

ความโมโห ความไม่พอใจ เพิ่มทวี ตามจำนวนวันที่นอนไม่พอ

ฉันพยายามเฝ้าดูการเกิดดับของความกลัว 

ฉันรู้สึกว่าตัวตนที่กลัวจนสั่น มันช่างไม่สมเหตุสมผล 

มันเหมือนเป็นคนอีกคน คนที่กลัวอย่างไร้ขอบเขต ไร้สาระ ไร้สติ

แต่ตัวฉันที่กำลังบ่นอยู่ โมโหอยู่ ก็ไม่สามารถทำให้ความหวาดกลัวนั้นสงบลงได้

ฉันยังคงศึกษาวิธีการกำจัดความกลัวต่อไป

ทั้งการค้นคว้าจากหนังสือตำราและอ่านอาการของความกลัวในทุกๆ ค่ำคืน

ความกลัวก็เหมือนกับทุกๆ อย่าง เมื่อเกิดขึ้นก็ดับลง 

ฉะนั้นความกลัวของฉันก็ต้องมีช่วงที่ดับลง

แม้ว่าจะไม่ดับสิ้นเช่นพระอรหันต์

แต่ก็น่าจะช่วยทำให้การใช้ชีวิตของฉันราบรื่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

แม้จะกลัวจนแทบด่าวดิ้น แต่ฉันก็ยังคงเฝ้าดูความกลัวของตัวเองอยู่ทุกค่ำคืน

พระพุทธเจ้าต้องช่วยฉันได้

  ฉันฝันว่าตัวเองมาอยู่ในที่แห่งนึง คล้ายกับสถาบันการศึกษา ที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นในชาติภพนี้ ฉันเดินตามทางไปเรื่อยๆ แสงสว่างจากท้องฟ้าก็เริ่มหายไป ผู้คนก็หลีกเร้น จนเหลือเพียงตัวฉันและแสงไฟสลัวๆ ตามทางเดิน มีสตรีสวมนุ่งผ้าแถบ โจงกระเบน ปล่อยผมยาว ผิวกายซีดขาว ยืนก้มหน้าอยู่ริมทางเดิน   "ไม่น่าจะเป็นเรื่องดี" นั้นคือปฏิกิริยาตอบสนองในทันที่ ที่ดิฉันสังเกตเห็นเธอ แต่ไม่ทันที่ดิฉันจะได้ได้ตั้งตัว เธอพุ่งตรงเข้ามาบีบคอของดิฉัน ใบหน้าสีขาวซีดนั้นยื่นเข้ามาจนประชิด ดวงตาลึกโบ๋ขนาดใหญ่โตมโหฬารของเธอจ้องประสานกับสายตาของดิฉัน  "นี่มันเรื่องอะไรกัน  เรานอนห่มผ้าห่มพันคอตัวเองแน่ๆ เลย หายใจไม่ออก... " ดิฉันคิดพิจารณาเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบที่ลำคอ พร้อมกับลมหายใจที่ขาดห้วงของตนเอง "เราต้องรีบตื่น แล้วเอาผ้าห่มออก" ฉันพยายามตั้งสติปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้าย  หญิงสาวผู้นั้นฉีกยิ้มสยองเยาะเย้ย ด้วยสรีระที่ผิดหลักกายวิภาคมนุษย์ ดิฉันจ้องมองเข้าไปในปากที่อ้ากว้างของเธอพร้อมพินิจ "อะไรทำให้เธอมีรูปลักษณ์สยดสยองได้ถึงเพียงนี้"  ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองจะหมดลมหายใจ รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังมืดลง และฉันกำลังจะตาย 

ฉันเคยได้อ่านเรื่องผีเมื่อยมือ ที่พระบวชใหม่ถูกผีบีบคอขณะนั่งสมาธิ พระรูปนั้นเลือกที่จะไม่ตอยสนองใดๆ ยังคงหลับตาทำสมาธิต่อไป ทั้งที่จริงๆ แล้วก็ตกใจกลัว แต่เมื่อพิจารณาดีๆ ก็พบว่า ไม่ว่าผีจะบีบคอแน่นมากขึ้นแค่ไหน ก็ยังสามารถหายใจได้ แม้จะหายใจได้ยากลำบากก็ตาม ผียิ่งบีบแน่นมากขึ้นๆ แต่พระรูปนั้นก็ยังคงพบว่ายังสามารถพอหายใจได้  ในที่สุดผีก็เลิกบีบคอ เพราะแม้แต่ผีก็ต้องเมื่อยมือ

ฉันคิดถึงเรื่องนี้ ในระหว่างที่ถูกบีบคอ แต่ต่างกันตรงที่ แม้ว่าจะสงบจิตสงบใจพยายามหายใจอย่างไร ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ฉันยังคงเชื่อว่าสาเหตุแห่งฝันร้ายนี้ เกิดขึ้นจากผ้าห่มพันคอ แม้จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้  ฉันจะต้องรีบตื่น แล้วแกะผ้าห่มที่รัดคอออกโดยเร็ว   

ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ   ฉันไม่สามารถผันวรรณยุกต์ใดๆ ให้ตรงกับเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นสยองโสตที่กึกก้องอยู่ในความฝันของฉันได้ ทุกอย่างเริ่มมืดสนิท ความทรงจำสุดท้ายของดิฉัน คือภาพใบหน้าอันสุดสยองของเธอผู้นั้น และเสียงหัวเราะอันขนพองสยองเกล้าของเธอที่ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง

"เรากำลังจะตายแล้วใช่ไหม  เราจะตายแบบนี้เหรอ" ดิฉันประมวลสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่พยายามดิ้นรนหายใจ เหงื่อกายไหล น้ำตานองหน้าด้วยความทรมาน

ถ้ากำลังจะตายแล้วจริง สิ่งสุดท้ายที่ขอจดจำไว้ คือ ภาพของพระพุทธองค์ 

ในภาวะที่สติกำลังจะหลุดลอย ดิฉันไม่สามารถระลึกถึงบทสวดมนต์ใดๆ ได้เลยแม้เพียงแค่บทเดียว ทั้งที่สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน แม้จะกราบไหว้พระพุทธรูปมาแล้ว กี่หมื่นกี่พันครั้ง แต่เมื่อกำลังจะตายการระลึกถึงภาพพระพุทธรูปแม้เพียงภาพเดียว ก็ไม่สามารถดึงภาพใดๆจากความทรงจำขึ้นมาได้เลย

เมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถดึงภาพความทรงจำใดๆ ในยามคับขันได้ ฉันจึงได้ปลงใจ "ไม่เป็นไร นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร" ดิฉันพยายามสงบใจ ยอมรับในชะตากรรม ที่เขาว่ากันว่าศึกชิงภพเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที เป็นจริงดังคำกล่าวนั้นทุกประการ ไม่ผิดเพี้ยน

ทันที ที่ใจสงบลง มีสติอยู่ที่ตัวเอง ภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อพระองค์ทรงออกผนวช ก็ปรากฏขึ้น บทสรรเสริญพระพุทธคุณก็กลับมาชัดเจนในความทรงจำ  "อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ... " 

ยังไม่ทันที่จะสวดจบวรรค ความมืดก็ถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างเจิดจ้า ฉันหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด พร้อมกับตื่นขึ้นจากฝันร้าย พบว่าตัวเองนอนขดกาย ในท่าเดียวกันกับในฝันตรงกลางเตียงนอน  ผ้าห่ม ที่ดิฉันคิดว่าเป็นตัวการณ์ของเรื่องราวทั้งหมด ถูกถีบออกไปอยู่ปลายเท้า แม้เหงื่อกายจะไหลท่วมตัว และยังคงมีน้ำตาอาบสองแก้ม 

บารมีของพ่อ พระเมตตาของพ่อ ส่องสว่างเจิดจ้า ในยามมืดมิด

ฉันยังคงสะอึกสะอื้น หวาดกลัวภัยร้าย ในยามหลับตาที่เพิ่งจบลง  และได้เรียนรู้ว่า ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที ที่ลมหายใจจะขาดสิ้น การจะมีสติระลึกถึงพระ ระลึกถึงกุศล ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากใจไม่สงบ 

ภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ขณะทรงผนวช เป็นภาพที่ดิฉันติดไว้ที่หัวนอน ไว้กราบไหว้บูชาเสมอ เมื่ออาศัยอยู่ในหอพัก ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศไทย หรือเมื่อไปศึกษายังต่างประเทศ 

ตัวดิฉันเองยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนผู้เบาปัญญา หาได้ซาบซึ้งในพระพุทธคุณของพระพุทธองค์เท่าใดนัก แม้พระองค์จะทรงเมตตา แสดงพระธรรมโปรดสัตว์อย่างดิฉันให้มีหนทางพ้นทุกข์ก็ตาม   แต่หากกล่าวถึงความซาบซึ้งใจในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แล้วนั้น ดิฉันสามารถอธิบายได้อย่างละเอียดแน่นอนค่ะ ใจที่พร้อมจะน้อมลงกราบพระบาทของพระองค์ คงเป็นที่มาแห่งแสงสว่างในช่วงวิกฤติแห่งชีวิต 

แสงสว่างนั้น ส่องไปที่ใด ความมืดก็คงอยู่ไม่ได้ 

หลังจากเหตุการณ์นั้น ความกลัวยังไม่หมดสิ้นไป

แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ ดิฉันได้หลักแห่งความดี เพื่อใช้ระลึกถึงในทุกๆ ครั้งที่ชีวิตมืดมน  ไม่ว่าจะมีปัญหาชีวิตครั้งใด ดิฉันมักจะระลึกถึงพระองค์ น้อมเอาแนวทางของพระองค์มาใช้ในการดำเนินชีวิต 

บทเรียนสำคัญที่ดิฉันได้รับคือ อย่าประมาท คิดว่าตนเองสวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติดี แล้วจะไปดี  ต้องมั่นฝึกสติ ให้พร้อมเสมอ หากต้องชิงภพเกิดของตัวเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม  

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์