อื่นๆ
หมดไฟในการเรียน ทำไงดี?

ยิ่งเรียนสูงเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าหมด passion หมดไฟ ไม่มีกำลังใจจะเรียนต่อไปแล้ว ทำไงดี?
คำถามนี้เป็นคำถามยอดนิยมในหมู่ของนักเรียนและนักศึกษาในประเทศไทย ซึ่งอาจจะเกิดจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาระหว่างที่ได้อยู่ในระบบการศึกษามายาวนาน อีกทั้งปัจจุบันก็ยังเห็นข่าวที่เกี่ยวกับการเลิกจ้าง ตกงานมากมาย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ตอกย้ำความรู้สึกของนักเรียนและนักศึกษารุ่นใหม่ว่า การเรียนสูงๆ จะทำให้ชีวิตของเราสบายจริงเหรอ เพราะยิ่งมองไปเท่าไหร่ ก็ยังมองไม่เห็นว่าจะสบายตอนไหน ยิ่งเรียนไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเรียนจบสูงมากเท่าไหร่ ก็ต้องทำงานในตำแหน่งที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงๆ ก็ยิ่งตอกย้ำคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวเข้าไปอีก แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็ยังมีคำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวแทบทุกวัน และมองไม่เห็นเลยว่าเมื่อไหร่เราะได้ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องเหนื่อยและแข่งขันขนาดนี้
Advertisement
Advertisement
แต่ถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อยหนัก หรือทรมานมากแค่ไหน ก็ทำได้แค่อดทน ไม่สามารถจะเรียนอย่างมีความสุขได้เลย ผู้เขียนรู้สึกแบบนี้วนเวียนอยู่เป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ด้วยสังคมที่ Toxic ทำให้สภาพจิตใจไม่สู้ดีนัก แต่หลายครั้งก็จะมีวิธีคิดที่จะเพิ่มพลัง หรือเรียกง่ายๆว่า วิธี boost กำลังใจให้ตัวเองอยู่เสมอ เพราะในใจของผู้เขียนรู้ดีว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้เหนื่อยกาย เพียงแต่เหนื่อยใจ จึงต้องไปแก้ที่ใจให้มีแรงที่จะฮึดสู้และก้าวต่อไปซะก่อน
สำหรับใครที่มีความรู้สึกเดียวกันกับผู้เขียน เรามาดูกันดีกว่าว่าวิธีเพิ่มกำลังใจและแรงใจของผู้เขียนมีอะไรบ้าง หากใครที่คิดว่ามันไม่ได้ยากเกินความสามารถของเรา ก็ขอแนะนำให้นำไปใช้เพิ่มกำลังใจให้กับตนเองนะ
- ขั้นตอนแรกที่ผู้เขียนทำบ่อยๆ คือ ถอนหายใจยาวๆ หลายๆรอบ ซึ่งความรู้สึกที่ได้จากการทำแบบนี้จะทำให้เรารู้สึกโล่งหรือได้ระบายอะไรออกไปจากใจแล้วส่วนหนึ่ง ถึงแม้จะระบายออกไปไม่หมด แต่ก็ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้อยู่ดี
- การอาบน้ำอุ่นแล้วร้องเพลง วิธีนี้ช่วยได้มากจริงๆในวันที่เครียดมากๆ การได้อาบน้ำอุ่นจะทำให้กล้ามเนื้อของเราผ่อนคลาย เตรียมพร้อมสำหรับการนอนหลับ ถือเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกดีมากๆ แต่อย่าเผลออาบนานเกินไปนะ เพราะจะไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่าไรนัก
- การหาที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือเล่าให้ใครสักคนฟัง หรืออาจะใช้คำว่าระบายก็ได้ แต่อย่าใส่อารมณ์มากเกินไปหล่ะ การระบายความทุก ความเครียด ให้พยายามมุ่งเน้นที่อธิบายปัญหาเพื่อให้คนรับฟังเขารับรู้ และเข้าใจ อาจจะใช้ความรู้สึกผสมใส่ลงไปให้เขาได้เข้าใจ แต่หากเราโกรธหรือหงุดหงิดใครมา ก็อย่าเอามาลงกับคนที่เขารับฟังเรา เพราะเขาไม่ได้มีหน้าที่รองรับอารมณ์ของเรา แต่เขามีหน้าที่เพื่อรับฟังและเข้าใจเรา เพราะฉะนั้นอย่าเอาความเครียดไปเป็นข้ออ้างให้ใครคนอื่นเขาเสียความรู้สึกหล่ะ เพราะในโลกนี้มีน้อยคนนักที่จะยอมเสียเวลาชีวิตนั่งฟังเราพล่ามจนจบ ทั้งๆที่เขาไม่ได้มาเดือดร้อนอะไรกับเรา
- ถึงขั้นตอนสำคัญนั่นก็คือการหาไฟ หรือหา passion ให้กับตัวเอง สำหรับขั้นนี้แต่ละคนอาจะไม่เหมือนกัน เพราะตัวผู้เขียนเองก็เคยอ่านเรื่องแบบนี้มาจากหลายแหล่ง แต่ก็รู้สึกว่าเมื่อเอามาปรับใช้แล้ว มันแทบไม่ได้ผลอะไรเลย สำหรับขั้นนี้ให้เรานิยามหรือกำหนดความฝันของเรา แล้วนึกภาพเราไปอยู่ในจุดๆนั้นในวันที่ประสบความสำเร็จ วิธีจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อคนๆนั้นมีความฝันที่จำเป็นจะต้องเรียน เช่น อยากเป็นหมอ อยากเป็นอาจารย์ อยากเป็นวิศวกร แต่แทบจะไม่ช่วยอะไรเลยสำหรับคนที่มีความฝันอยากใช้ชีวิตแบบ slow life ไม่หวือหวา สำหรับคนกลุ่มนี้ไม่สามารถจะแนะนำอะไรได้มากมายจริงๆ เพราะอยากให้ทำความฝันของตนเองมากกว่า ถ้ามีโอกาสที่จะได้ทำตามความฝัน แนะนำให้รีบคว้าไว้นะครับ แต่ถ้าโอกาสมันยังไม่มาถึง ให้เราค่อยๆทำความฝันเราไปทีละเล็กละน้อยก่อน ถือเป็นการรอเวลาที่โอกาสจะมาหาเรา
Advertisement
Advertisement
และก็ขอฝากไว้ว่าสำหรับใครที่ยังเรียนอยู่แล้วหมดไฟในการเรียนมากๆ ให้นึกถึงวันที่เราประสบความสำเร็จ แล้วเราจะมีกำลังใจที่เข้มแข็งขึ้น แต่ถ้าไม่ไหวแล้วจริงๆให้อดทนต่ออีกสักนิด อย่างน้อยให้เรามีวิชาชีพติดตัวในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ แต่ถ้าเส้นทางอีกยาวไกลแล้วใครยังรีบถอนตัว ก็ให้รีบตัดสินใจนะ ไม่งั้นจะเป็นเหมือนตัวผู้เขียนเองที่ไม่ได้ตัดสินใจทำตามความฝันของตัวเองตั้งแต่แรก
- ภาพปกทำเองจากเว็บ canva.com
- ภาพที่ 1 โดย JESHOOTS-com จาก Pixabay
- ภาพที่ 2 โดย HaticeEROL จาก Pixabay
- ภาพที่ 3 โดย mohamed_hassan จาก Pixabay
- ภาพที่ 4 โดย mahbubhasan2550 จาก Pixabay
เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
ความคิดเห็น






