อื่นๆ
#หีบพาหลอน เสียงกระซิบ

#หีบพาหลอน เสียงกระซิบ
กวิน ไม่ได้เชื่อเรื่องดวงชะตาหรือพวกการทำนายอะไรมากนัก นั่นเพราะว่าเขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่าดวงจะเป็นอย่างไม่ ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าช่วงไหนดวงจะดีไหม เงินทองจะไหลมาเทมาไหม...นั่นก็เพราะว่าครอบครัวของเรารวยมากเสียจนกวินไม่จำเป็นต้องขวนขวายอะไร นิสัยตั้งแต่จำความได้คือการชี้ และพ่อแม่ก็มีหน้าที่หยิบจับสิ่งเหล่านั้นมาประเคนให้ แม้ว่าช่วงเวลาจะเลยผ่านจนเขาเข้าสู่วัยเบญจเพสแล้ว แต่นิสัยชี้นิ้วสั่งก็ยังไม่จางหายไป ซ้ำการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่กอบโกยแต่เงินก็กลายเป็นพฤติกรรม “พ่อแม่รังแกฉัน” ไปเสีย เพราะกวินโตมาเป็นคนที่หลงระเริงในเม็ดเงิน อำนาจ และไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรสักอย่าง เรียนจบแค่ม.ปลายก็ไม่ได้เรียนต่อเพราะถือคติที่ว่า...รวยแล้วเรียนไปทำไม
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมักควงสาวไม่ซ้ำหน้า เพียงเพื่อสัมพันธ์สวาทชั่วข้ามราตรีเท่านั้น บรรดาเพื่อนฝูงต่างชอบใจ เพราะคบเขาแล้วสุขสบายไปด้วย โดยที่กวินไม่รู้ตัวเลยว่าไม่มีใครจริงใจกับเขาสักคนเดียว หากว่าเขาไร้ซึ่งเงินตรามาปรนเปรอ ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เขาได้ไปออกทริปขับรถบิ๊กไบค์กับเพื่อนเพื่อไปเที่ยว ระหว่างทางแวะพัก กวินโดนชายแก่คนหนึ่งมาทายทักอ้างว่าตัวเองเป็นหมอดู และตักเตือนเขาว่าย่างเข้าวัยยี่สิบห้า ทำอะไรก็ให้ระมัดระวังตัวเอาไว้ด้วย เพราะเห็นว่า “เงาหัวไม่มี” ได้ยินเช่นนั้นนอกจากไม่เชื่อแล้วกวินยังขึ้งโกรธ สบถด่าชายแก่ไปด้วยถ้อยคำหยาบช้าสามานย์ พร้อมทั้งหมายจะชกตีอีกฝ่ายจนเพื่อนๆ ต้องวิ่งเข้ามาห้าม ก่อนเดินทางต่อเขายังคงไม่วายหันกลับมาด่าชายแก่คนนั้นด้วยถ้อยคำสุดแสนจะดูถูกเหยียดหยาม ทว่าท้ายที่สุด ชายแก่ก็หาได้เคืองโกรธไม่ ทำได้เพียงมองดูบรรดารถหรูกว่าสิบคันขับรวมกลุ่มออกไปแล้วถอนหายใจเบาๆ “ดวงตกแท้หนุ่มเอ๊ย”
Advertisement
Advertisement
การมาเที่ยวในครั้งนี้ทุกคนจองโรงแรมสุดหรูไว้สำหรับพักผ่อน กวินวีดีโอคอลคุยกันแฟนคนปัจจุบันของเขา ซึ่งคนนี้ต่างจากคนอื่นๆ ที่เขารู้สึกหลงรักและไม่ได้อยากจะย่ำยีหรือเพียงมีสวาทสัมพันธ์ชั่วคราว กวินจึงรัก หลง หวง และห่วงเธอเป็นพิเศษเรียกได้ว่าห่างกันเมื่อไหร่ก็ต้องคอยโทรหา แม้กลางคืนจะไม่ได้นอนร่วมชายคาก็ต้องโทรหาเพื่อคาสายเอาไว้อย่างนั้น เพื่อเป็นตัวยืนยันว่าทั้งสองจะไม่มีคุยกับใครอื่น
ทุกอย่างดำเนินเป็นปกติไป ทริปการเที่ยววันต่อมาก็เริ่มขึ้น หากแต่เช้าวันนี้กวินรู้สึกตึงๆ ที่หัว เหมือนจะไม่สบาย แต่ก็ยังฝืนที่จะเดินทางต่อไป เส้นทางเที่ยวชมธรรมชาติที่วางแผนไว้นั้นค่อนข้างยากลำบาก ทั้งขึ้นเขาลงเขา ทางเลี้ยวก็มาก ทั้งโค้งน่ากลัว หรือโค้งหักศอก การเดินทางจึงต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษ แล้วในตอนนั้นที่สติสัมปชัญญะของเขากำลังพร่าเลือน กวินได้ยินเสียงกระซิบที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้เพราะเขาสวมหมวกกันน็อคอย่างดี มันแว่วเข้ามาในโสตประสาท เป็นน้ำเสียงของผู้หญิง... “ไม่ต้องเลี้ยว” แล้วไม่รู้ด้วยอะไรก็ตาม ชายหนุ่มในวัยเบญจเพสก็ขับรถพุ่งเข้ากลางโค้งทันทีจนกลายเป็นอุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ กลางโค้งมีไหล่ทางที่ต่ำ มีแม้ไม้แต่ต้นไม้ขึ้นรถชัฏ โชคดีที่ชุดขับมอเตอร์ไซค์ของเขานั้นค่อนข้างเซฟตี้ จึงทำไห้เขารอดพ้นจากกิ่งไม้หรือหนาม เพียงแต่ว่ารถทั้งคันกระแทกเข้ากับต้นไม้จนล้อหน้าบิด และเขาเองก็กระเด็นหัวฟาดจนสลบเหมือด ทริปนั้นจึงล่ม...เพราะมีใครบางคนกระซิบให้เขาทำ
Advertisement
Advertisement
ขอบคุณภาพประกอบจาก FREE WEB :: https://unsplash.com/s/photos/scary
กวินฟื้นขึ้นอีกครั้งในห้อง VIP ของโรงพยาบาลเอกชน เขามีอาการฟกช้ำทั่วร้างกาย และแรงกระแทกทำให้ข้อเท้าของเขาซ้นจนบวมเป่งต้องให้นอนนิ่งๆ อยู่สักระยะ เมื่อเพื่อนถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาก็ทำได้เพียงกัดฟันแล้วตอบไปว่าสภาพร่างกายตัวเองไม่พร้อม เพราะเขาไม่อยากจะยอมแพ้ความเชื่อตัวเองแล้วบอกเพื่อนว่ามีคนกระซิบให้ทำ
เพราะเขาไม่เชื่อไงล่ะ...
ในคืนนั้นขณะที่เขากำลังหลับสนิท กวินได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาที่ข้างหู แผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ดังขึ้น ดังขึ้นกระทั่งกลายเป็นเสียงตะโกน
“มึงตื่นขึ้นมาสิ!!!” ชายหนุ่มสะดุ้งลืมตาขึ้นขึ้นมาก่อนจะพบว่าทั้งร่างถูกตรึงไว้ ไม่สามารถขยับได้ ดวงตาที่หวาดกลัวเริ่มชินกับความมืด รอบกายเงียบสงัด แอร์ในห้องเย็นจัดแต่ใบหน้ากลับผุดพรายด้วยเหงื่อเม็ดโต เพราะเขาเริ่มเห็นว่าอากาศตรงเพดานเริ่มจับตัวเป็นมวลบางอย่างแล้วหมุนวน ก่อนจะรวมกันอย่างช้าๆ กลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดขาวผมยาว มองไม่เห็นใบหน้า ค่อยๆ ลอยต่ำลงมาที่หน้าเขา ช้าๆ ทุกๆ อย่างในช่วงเวลาแห่งความหวาดกลัวมันเนิบช้าไปหมด ชายหนุ่มน้ำตาไหลพรากแต่ไม่อาจจะช่วยเหลือตัวเองได้ ความกลัวส่งผลให้เขาเผลอปล่อยของเหวออกมาเปรอะเปื้อนตัวเองและที่นอน กระทั่งร่างนั้นลอยต่ำลงมาแทบจะประชิดเขา ใบหน้าที่อีกฝ่ายเผยให้เห็นก็ยังคงเป็นสีดำสนิทราวกับความมืดมิดที่แสนน่ากลัว กวินได้กลิ่นเหม็นเน่าราวกับซากศพนับร้อยพันโชยคลุ้งทั่วห้อง กระทั่งอีกฝ่ายเผยเสียงหัวเราะและเอื้อนเอื่อยวจีด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบคมกริบราวกับจะปาดคอเฉือนเนื้อหนังเขาให้สะบั้นตรงนี้ “ได้ยินฉันไหม ?”
Advertisement
Advertisement
กวินยังไม่สามารถขยับร่างกายได้ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร แต่ที่แน่ๆ มันอาจจะคล้ายอาการผีอำ ร่างนั้นหัวเราะตรงหน้าก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออกไปแล้วค่อยๆ กลืนหายไปกับเพดานห้อง วินาทีนั้นเองที่เขาได้รับอิสระ เขาจึงเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งแล้วหันไปมองนาฬิกา หากแต่ใบหน้าที่ดำสนิทของอีกฝ่ายกลับปรากฏอยู่เบื้องหน้า ตอนนี้เขาเห็นแล้ว เห็นรอยยิ้มที่ฉีกกว้างจนริมฝีปากฉีกขาด กวินกรีดร้องอย่างสติแตก ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบอีกครั้ง
“อรุณสวัสดิ์!” แล้วกวินก็ตื่นขึ้นมาในห้องที่มีทั้งพ่อแม่และเพื่อนๆ ยืนรายล้อม ทุกคนเห็นว่าเขาละเมอด้วยท่าทีหวาดกลัว จึงเค้นถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ท้ายที่สุด ความกลัวและความวิตกทำให้เขายินยอมที่จะระบายสิ่งที่เจออกไป เพราะไม่อยากเก็บไว้คนเดียว และต้องการหาวิธีแก้ด้วย
“หรือว่าชะตามึงจะไม่ดีเหมือนตาแก่คนนั้นพูดวะ ?” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ก่อนที่กวินจะถึงบางอ้อแล้วนึกย้อนไป อีกฝ่ายบอกว่าตนกำลังจะชะตาขาด ต้องใช่แน่ๆ เพราะหลังจากที่ถูกทายทัก เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นทันที และมันทำให้เขาต้องมาที่นี่เพื่อพบเจอความฝันประหลาดที่แสนสมจริงนั่น ในระหว่างการรักษาตัวของกวิน เพื่อนๆ ได้กลับไปที่จุดพักรถนั้น เพื่อต้องการจะถามหาความจริง หรือข้อมูลเพิ่มเติมว่าเกิดอะไรกับกวิน ส่วนอีกคนได้รับคำบอกล่ามาจากผู้ใหญ่ในบ้าน ว่าคนที่อายุเบญจเพสนั้นดวงขึ้นๆ ลงๆ อาจจะพุ่งสูงเลยหรือดวงตก ทั้งนี้มันก็เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ถ้าหากดวงตกจริงๆ แล้วไปสัญจรผ่านสถานที่ๆ มีวิญญาณหรือสิ่งเร้นลับที่จ้องหาตัวตายตัวแทนอยู่แล้วก็อาจจะโดนล่อลวงไปง่ายๆ เช่นกัน เพื่อเป็นตัวตายตัวแทน แม้กระทั่งข่าวอุบัติเหตุในทีวีปัจจุบันยังมีการโยงเอาเรื่องยาวเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องเลย พอได้หาข้อมูลไปลึกๆ แล้วก็พบว่าโค้งที่กวินประสบอุบัติเหตุนั้นมีอุบัติเหตุก่อนหน้านับครั้งไม่ถ้วน ทั้งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ก็คงระบุไม่ได้ว่ากี่คนเพราะมันเกิดขึ้นมานานแล้ว จะป้ายเตือนหรือราวกั้นก็ไม่ได้ลดการเกิดอุบัติเหตุลง
ขอบคุณภาพประกอบจาก FREE WEB :: https://unsplash.com/s/photos/scary
แม้ว่ากวินอาจจะไม่ได้ชอบใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องบาดเจ็บหรือเจออะไรที่ยากกว่าจะรับไหว จึงยอมที่จะรักษาตัว ย้ายกลับไปที่โรงพยาบาลในเขตของตัวเองจนดีขึ้น รวมทั้งไปรดน้ำมนต์ตามคำแนะนำของผู้หลักผู้ใหญ่อีกด้วย และนี่เป็นครั้งแรก...ที่กวินยอมห้อยสร้อยพระ แม้จะห้อยแบบขอไปทีก็ตาม
แม้จะไม่พอใจที่อิสระหายไป แต่ถ้าไม่อยากที่จะเจ็บตัวจากเรื่องราวเร้นลับก็ต้องยอม จนท้ายที่สุด กวินอดทนที่จะอยู่แต่บ้านได้เพียงเดือนเศษๆ เท่านั้น แม้ว่าจะมีทุกอย่าง แต่อิสระคือสิ่งที่เขาต้องการ ครั้งนี้เขานัดเพื่อนดื่มที่บาร์แห่งหนึ่งในงานวันเกิด อย่างน้อยเขาก็มีสร้อยพระติดตัว ยังไงซะก็ไม่มีอะไรทำร้ายเขาได้หรอก...ผีมันกลัวพระอยู่แล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม
แต่เขาไม่ได้รับรู้ข้อเท็จจริงอีกอย่าง ว่าพุทธคุณของสิ่งศักดิ์ขึ้นอยู่กับศรัทธา เขาแขวนพระโดยไร้ซึ่งสิ่งนั้น
หากตัดเรื่องดวงตกทิ้งไป ตัดเรื่องขวัญอ่อนทิ้งไป และตัดเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหมดทิ้ง ค่ำคืนนี้ที่รถเขาพุ่งชนเกาะกลางถนนแล้วพลิกคว่ำจนเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสนั่นก็เพราะว่าเขาเมาแล้วขับ จนต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง
หากแต่มีแค่กวิน...ที่เขาได้ยินเสียงกระซิบก่อนที่ทุกอย่างจะพังพินาศ “หักขวาแล้วชน!”
ขาของเขาหักทั้งสองข้าง ครั้งนี้คงสิ้นฤทธิ์แล้วจริงๆ เขาโดนพ่อแม่ต่อว่าไปไม่น้อยที่ทำตัวเช่นนี้ เพราะสภาพเขาตอนนี้นอนซมอยู่บนเตียงที่ต้องมีคนคอยบริการทุกอย่างให้ ชายหนุ่มกัดฟันเจ็บปวดในใจที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันจึงเลวร้ายเช่นนี้ แล้วเขาไปทำอะไรผิดมา ถึงต้องดวงตกขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เขาควรมีครบทุกอย่าง...
ในช่วงเวลาค่ำคืนที่เงียบสงัด ตอนที่เขากำลังคิดอยู่เพียงคนเดียว ในหัวฟุ้งซ่านไปหมดไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แล้วในตอนนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าผ้าห่มที่คลุมตั้งแต่ขาถึงกลางอกค่อยๆ เลื่อนลง ราวกับมีใครสักคนดึงมันช้าๆ ทุกๆ อย่างอยู่ในสายตาของกวินที่ยังตื่นอยู่อย่างเต็มตา ชายหนุ่มพยายามเกร็งใบหน้ามองที่ปลายเท้า ก่อนที่เขาจะได้เห็นสิ่งที่ทำให้เขาแทบคลั่ง นิ้วเล็กๆ ทั้งห้านิ้วที่อายบ้อมไปด้วยเลือดค่อยๆ เกาะผ้าห่มขึ้นมาช้าๆ จากซ้าย ไปขวา แล้วไต่ขึ้นมาทั้งตัว ก่อนที่ศีรษะของเด็กน้อยจะค่อยๆโผล่พ้นขึ้นมาเงยหน้ามองไปยังเจ้าของเตียง หัวกะโหลกอีกฝ่ายยุบเว้าแหว่ง ดวงตาปูดโปนจนถลนมีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่สมบูรณ์ เพราะว่ากรามล่างของเด็กน้อยหลุดห้อยไปมาพร้อมทั้งสายสะดือลากยาวที่ค่อยๆ คลานเข้ามาหาจนกระทั่งหยุดอยู่ที่กลางอก สองใบหน้าสบตากันวูบหนึ่ง กวินตกใจจนสติแตก แหกปากร้องทว่าไม่มีใครได้ยินเขาเลย สองขาเจ็บแปลบไม่อาจลุกหนีได้ แถมร่างกายก็ยังร้าวระบมจนแทบไม่ต่างอะไรกับคนเป็นอัมพาต
“แฮะๆ” เสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังขึ้นช้าๆ กวินร้องไห้และฉี่ราดออกมาบนเตียง เด็กน้อยโชกเลือดโยกหน้าไปมามองเขาด้วยแววตาถลน ริมฝีปากยกยิ้มทั้งๆ ที่ส่วนกรามที่หลุดวิ่นแกว่งตามไม่มาหลายเป็นภาพที่น่าสยดสยองที่สุดในชีวิตเขา แต่เพียงไม่นาน เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ นอนซบอยู่บนอกเขาราวกับลูกแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง ก่อนปรากฏเสียงกระซิบอีกครั้งข้างหู ซึ่งครั้งนี้ชัดเจนที่สุด “นั่นลูกเราไงกวิน...”
ขอบคุณภาพประกอบจาก FREE WEB :: https://unsplash.com/s/photos/scary
เป็นอีกครั้งที่เขาต้องหันไปตามเสียง หากแต่ครั้งนี้ใบหน้าที่เคยดำมืดของวิญญาณปริศนานั้นปรากฏชัดเจน...มะเหมี่ยว
เธอเป็นแฟนของกวิน แต่มันก็ผ่านมานานหลายเดือนแล้ว ทว่าหากกล่าวถึงเธอ กวินก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมเธอต้องตามเขา ทำไมเข้าต้องเป็นแบบนี้ สองครั้ง...สองครั้งที่เขาสั่งให้เธอทำแท้งในตอนที่ตัวเขายังไม่พร้อมที่จะแบกรับใครเข้ามาในชีวิต เขาเพียงต้องการช่วงเวลาเสพสมข้ามคืน ไม่ได้อยากจะมีใครเข้ามาเป็นคู่ครอง เขายังต้องไปต่อ เขารวย เขามีเงิน และเขาซื้อได้กระทั่งชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่เขา “พลาด” ทำให้เขามีตัวตนขึ้นมา
“ไปเอามันออกถ้ายังอยากคบกันอยู่” นี่คือประโยคที่เขาพูดกับเธอเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมเงินก้อนหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหายไปจากชีวิตของเขาอีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา เขาไม่เคยรู้ว่าเธอไปไหน ไม่เคยถามว่าอยู่อย่างไร ดีเสียอีกที่ผลักไสเธอออกไปจากชีวิตเขาได้
ซึ่งในความจริงแล้ว เธอไม่ได้หายไปไหน ม่าเหมี่ยวรักเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ เธอไม่เคยมีใครเข้ามาจีบเธอแบบนั้น จึงจำยอมพลีกายถวายเรือนร่างให้เขา และยอมที่จะเอาเด็กออกตามคำสั่ง หากแต่ว่ายาที่เธอสั่งซื้อมาจากเน็ตกลายเป็นยาที่อันตรายกับเธอมากเกินไป มันคือยาผิดกฎหมาย และทำให้เธอตกเลือดอย่างหนัก แท้ง และเสียชีวิตไปพร้อมๆ กับเด็กในท้อง ด้วยความปรารถนาสุดท้าย คือการได้อยู่กับกวินให้นานกว่านี้ เธอเพิ่งรู้ในวินาทีที่ลมหายใจดับสิ้น ว่าเธออ่อนต่อโลกเกินไป และคิดมาเสมอว่าความรักก็ไม่ใช่หนทางสู่สรวงสวรรค์เสมอไป เมื่อมันฉุดเธอลงสู่หุบเหวของความตายในวันนี้
เขาเองก็ต้องได้รับรู้ความทุกข์ทรมานที่หยิบยื่นหนทางให้เธอไปตายเช่นกัน
ร่างของมะเหมี่ยวแทรกตัวขึ้นเตียง มุดกายเข้าในผ้าห่ม วาดแขนขึ้นกอดลูกน้อยและผู้เป็นสามี ซบใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเนื้อเน่าเฟะที่ไหล่คนรัก
“เมียมานอนด้วยแล้วไง...กอดลูกสิจ๊ะ กูบอกให้มึงกอด!!!”
เสียงลูกน้อยหัวเราะ พร้อมกับเสียงฮัมเพลงกล่อมลูกที่แว่วมา บรรยากาศภายในห้องกลายเป็นโลกที่กวินไม่เคยต้องการพบเจอ เขาไม่อาจจะรั้งสติของเขาได้อีกต่อไป เมื่อสุดท้าย ทุกๆ อย่างก็ระเบิดแตกออกเป็นจุณ ก่อนที่เขาจะถูกดึงเข้าไปในโลกของเวรกรรมที่ไม่อาจขัดขวาด
มันไม่ใช่ดวง มันไม่ใช่เบญจเพส มันไม่ใช่อะไรทั้งนั้น...แต่มันคือเวรกรรมของเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหมอเข้ามาในห้องก็พบว่ากวินนอนสั่น ฉี่และอุจจาราระเรี่ยราดอยู่บนเตียง ดวงตาเหม่อลอยร้องไห้ตลอดเวลา พร้อมพร่ำพรรณนาถึงเมียและลูกอยู่ร่ำไป ผลการวินิจฉัยของทางโรงพยาบาลบอกว่ามันคือปัญหาเกี่ยวกับการกระทบกระเทือนของระบบประสาท แต่ความจริงแล้วกวินรู้ดีว่ามันคืออะไร เขารู้ตัวทุกอิริยาบถ หากแต่ไม่อาจควบคุมสิ่งใดได้อีกต่อไป ทำได้เพียงรอให้เวลาของเขามาถึง เพราะเมียและลูกของเธอยืนรออยู่ที่ปลายเตียงนั้นแล้ว
วันที่โรคเวรโรคกรรมจะพาเขาไปสู่จุดจบ
“หนูกับลูกรอพี่อยู่นะคะ” มันคือเสียงกระซิบที่เขาได้ยินอยู่ตลอดเวลา...
เรื่อง - น้องหีบ
ความคิดเห็น






