ไลฟ์แฮ็ก
เคล็ดลับ การจับผิด คนโกหก !

หากคนเราเปรียบเหมือนหนังสือเล่มนึง มันคงง่ายที่จะเปิดดูสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายเล่มของคนคนนั้น แต่คนเรากลับยุ่งยากและซับซ้อนกว่านั้น เพราะเมื่อคุณกำลังจะเปิดไปหน้าหนังสือที่ต้องการค้นหา กลับพบเจอกับหน้าอื่นที่ไม่ใช่ความจริง "การโกหก" เป็นสิ่งที่เบี่ยงเบนสิ่งต่าง ๆ ไปจากความเป็นจริง
การที่เราสงสัยใครคนนึง ว่าคนคนนั้นโกหกหรือไม่ คุณมีทางเลือกอยู่แค่ 3 ทางคือ
- ถามตรง ๆ : เป็นการเผชิญหน้ากับ "ผู้ต้องที่สงสัย" ที่ดี แต่ผลลัพธ์อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะโกหกจริง หรือไม่ได้โกหก ก็ดูเหมือนจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณและเขาพังลงเอาได้ง่าย ๆ
- วางเฉย : เหมือนจะดีแต่การที่วางเฉย แล้วปล่อยให้ความสงสัยยังครอบงำความคิดของคุณ ย่อมเป็นทรมานตัวเอง
- สืบข้อมูล : อาจจะต้องเสียเวลาและทำให้ความสัมพันธ์แย่มากขึ้น และบางอย่างก็ใช่ว่าจะสามารถสืบเข้าไปถึงภายในใจอีกฝ่าย
Advertisement
Advertisement
จะเห็นว่า ไม่ว่าทางไหนก็ดูจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก ที่จะให้รู้คำตอบว่า อีกฝ่าย "โกหก" เราหรือไม่ ดังนั้นเราจึงมีเคล็ดลับที่ไม่ใช้วิธีนี้กัน
(Photo by Kristina Flour on Unsplash)
เคล็ดลับการจับผิด
หลักของเคล็ดลับคือ จับพิรุธจากท่าทีการตอบสนอง ต่อเรื่องที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาโกหก
ถ้าเราดูกันตามตรง เวลาคนเราโดนถามตรง ๆ เรื่องที่กำลังโกหก อีกฝ่ายย่อมต้อง "ปกป้อง" ตัวเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะด้วยการปฏิเสธ ย่อมหาคำตอบที่ชัดเจนได้ยาก แล้วพอเขาปฏิเสธ แล้วเราไม่เชื่อ มันก็ยิ่งแย่ไปอีก ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำ คือการสื่อสารสิ่งที่ "ไม่โทษ" อีกฝ่าย แล้วค่อยดูท่าทีตอบสนองแทน โดยมีกลวิธี ได้แก่
- ถามอีกฝ่ายถึงสิ่งที่เขาโกหกแต่ไม่ได้ชี้ว่าเขาเป็นคนทำ
- การถามคำแนะนำ เช่น คุณสงสัยว่าอีกฝ่ายขโมยของไป คุณอาจไปเกริ่น ๆ ถามเขาว่า "มีบางคนพยายามขโมยของฉัน คุณมีคำแนะนำในการป้องกันมั้ย ไม่ให้เขาขโมยอีก" หากเขามีท่าทีอึดอัด บ่ายเบี่ยงหรือไม่ตอบอย่างเต็มใจ ก็แสดงว่ามีพิรุธว่าเขาจะเป็นคนขโมยของที่ปิดบังอยู่ แต่ถ้าตอบวิธีแก้ไข ช่วยเหลืออย่างเต็มใจก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ได้โกหก
- การเล่าเรื่อง เช่น คุณอาจจะเล่าเรื่องงานวิจัย ดังตัวอย่างที่อีกฝ่ายเช่นอีกฝ่าย คบชู้ คุณอาจจะใช้งานวิจัยที่สร้างขึ้นมาเองในการพูดคุย เช่น เขามีนิสัยชอบเขย่าขาและกำลังเขย่าขา คุณอาจจะสร้างเรื่องพูดออกมาว่า "มีคนบอกว่า คนชอบเขย่าขาเป็นคนที่กำลังคบชู้" ซึ่งท่าทีที่เขาตอบสนองมีผลต่อการจับพิรุธ ถ้าเขาทำอะไรที่บ่งบอกเพื่อป้องกันตัวเอง อาจจะเป็นการพูดปฏิเสธ หรือ หยุดเขย่าขา แสดงว่าเขากำลังโกหกอยู่ แต่ถ้าเขายังเขย่าต่อ (เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน) หรือบอกเรื่องที่พูดเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่เกี่ยวเลย ก็แสดงว่าเขาไม่ได้โกหกได้
(Photo by Christin Hume on Unsplash)
- การเสนอข้อมูลที่เท่าเทียมเพื่อให้อีกฝ่ายแสดงท่าทีลำเอียง
- ให้ทางเลือก หรือ ข้อมูลที่เท่ากัน แต่อีกฝ่ายไม่เท่ากัน เช่น คุณกำลังจับโกหกแฟนคุณ ว่าแฟนคุณเคยรู้จักกับผู้หญิงคนนี้หรือไม่ คุณอาจจะให้แฟนคุณดูรูปผู้หญิง ที่อาจจะมีความสวยเหมือนกันหมด จากใน Friend List ซึ่งถ้าเป็นคนปกติ อาจจะแสดงท่าทีเท่ากัน ในแต่ละคน แต่ถ้าเขาเคยรู้จักกับคนนั้นมาก่อนก็อาจจะมีท่าทีที่ต่างออกไป เช่น ทำท่าไม่ค่อยสนใจ หรือ ทำจ้องมองนานเป็นพิเศษ
Advertisement
Advertisement
จากสองข้อที่กล่าวมาอาจเป็นเทคนิคคร่าว ๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลคืออยู่บนหลักการ "ไม่โทษอีกฝ่าย เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายป้องกันตัวเอง" แต่จะเน้นการให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อจับพิรุธ
ทั้งนี้การใช้เทคนิคนี้อาจจะไม่ได้พิสูจน์ว่าอีกฝ่ายโกหกหรือไม่โกหกแม้จะค่อนข้างชัดเจน แต่ไม่ 100% เนื่องจากนิสัยและพฤติกรรมของคนแตกต่างกันออกไป เช่น คนที่โกหกบ่อย ๆ จะสามารถทำตัวได้แนบเนียนจนจับพิรุธไม่ได้ หรือคนที่ตื่นวิตกเกินเหตุ ก็สามารถแสดงพิรุธออกมาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โกหกได้เช่นกัน
(Photo by João Silas on Unsplash)
อ้างอิงหนังสือ : You Can Read Anyone - David J. Lieberman, Ph.D.
เขียนสไตล์จับฉ่าย เจ้าของเว็บ [www.puntaiji-ent.com] [www.shitsuren-tarot.com] [www.datasciya.com]
ความคิดเห็น







(