ไลฟ์แฮ็ก
เทคนิคฝึกพูดว่า “ไม่” สำหรับมือใหม่หัดปฏิเสธ

Cover Image by Gerd Altmann from Pixabay
สมัยก่อนตอนที่ฉันยังทำงานประจำ ฉันยืนหนึ่งในเรื่องการทำงานหนักเหมือนพรุ่งนี้โลกจะแตก
เรียกว่าทำมัน 24 ชั่วโมง 7 วัน ด้วยงานของฉันนั้นเป็นงานชนิดที่ไม่มีเวลาแน่นอน ผลสำเร็จคือความเสร็จสิ้นของงาน ซึ่งทำทั้งคืนทั้งวันก็ไม่มีวันที่จะเสร็จ
แต่อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ฉันมีงานต้องทำล้นมือตลอดเวลา เชื่อว่ามาจากการที่ฉันพูดคำว่า “ไม่” ไม่เป็น
หากมีเพื่อนร่วมงานวานให้ทำอะไรให้ ฉันจะวางงานตัวเองทันใด แล้วลงมือทำให้เขาก่อนจนกว่าจะเสร็จ ฉันไม่เคยพูดกับนายว่า “ทำไม่ได้” แถมยังทำอะไรเพิ่มเติมจากที่นายสั่งให้ทำอีกต่างหาก
แรก ๆ ฉันทำมันด้วยความสนุกมีความสุขมาก ๆ เพราะฉันเชื่อว่างานทุกงานทำให้ฉันมีประสบการณ์มากขึ้น แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ใจก็กระซิบบอกเราว่าขืนรับเละแบบนี้ต่อไปไม่น่าจะเวิร์ค ฉันเริ่มฝึกตัวเองให้รู้จักการปฏิเสธ ซึ่งสารภาพเลยว่าการพูดว่า “ไม่” เป็นอะไรที่ยากกว่าทำงานเสียอีก
Advertisement
Advertisement
เพราะทุกครั้งที่อุบอิบปฏิเสธไม่ทำอะไรให้ใคร ฉันเป็นต้องรู้สึกไม่ดีไปสองสามวัน
Image by StockSnap from Pixabay
สาเหตุที่ไม่กล้าพูดว่า “ไม่” เพราะฉันรู้สึกมันคือความ “ไม่มีน้ำใจ” ทั้งที่มันแค่เป็นการปฏิเสธ
ฉันจึงถามตัวเองว่า เมื่อฉันขอให้ใครทำอะไร แล้วเขาปฏิเสธฉันอย่างจริงใจ ฉันรู้สึกว่าเขาไม่มีน้ำใจหรือเปล่า คำตอบคือ “ไม่” ฉันแยกแยะได้ว่าการที่เขาทำให้เราไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ชอบเรา
เขาแค่ปฏิเสธสิ่งที่ฉันขอให้ทำ ไม่ใช่การปฏิเสธตัวฉันสักหน่อย
ความจริงที่ฉันเริ่มสังเกตเห็นคือ เมื่อใครสักคนขอความช่วยเหลือและเราทำให้ไม่ได้ การพูดคำว่า“ไม่” ออกไป กลับดีกว่าเกรงใจแบ่งรับแบ่งสู้แล้วปฏิเสธทีหลังเสียอีก เพราะยิ่งเราปฏิเสธเร็วเท่าไหร่ คน ๆ นั้นก็มีเวลารีบคิดหาหนทางใหม่ได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ฉันควรนับถือความต้องการของตัวเอง เท่ากับการเกรงใจคนอื่น การพูดว่า “ได้” ทั้งที่ใจบอกว่า “ไม่” อาจไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นคนดีมีน้ำใจ แต่หมายถึงการที่ฉันไม่เคารพตัวเองพอ
Advertisement
Advertisement
ถ้าคุณเป็นอย่างฉันที่ไม่คุ้นชินกับการพูดว่า “ไม่” ขอแนะนำให้รู้จักเทคนิคแบบง่าย ๆ ที่จะทำให้ปากคุณตรงกับใจมากขึ้น
สมมติว่าสถานการณ์คือ ธีร์ เพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง ขอร้องให้คุณเข้าร่วมในการประชุมที่คุณไม่เกี่ยวข้องด้วย คุณงานยุ่งมาก และไม่อยากเข้าร่วมประชุมนี้ คุณมีวิธีที่จะพูดว่า “ไม่” หลายวิธี คุณสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวคุณ
Photo by Alirio García Diseño Gráfico on Stocksnap
เทคนิคฝึกพูด “ไม่” สำหรับมือใหม่หัดปฏิเสธ
- “ไม่” แบบตรงๆ : ปฏิเสธอย่างหนักแน่น ไม่ลังเล ไม่กระบิดกระบวน ไม่อ้างเหตุผลวุ่นวาย
ตัวอย่าง : ไม่ค่ะน้องธีร์ พี่ขอไม่เข้าประชุมค่ะ
- “ไม่” แบบสุภาพ : ปฏิเสธด้วยความเกรงใจ คุณอาจเพิ่มประโยคแสดงความสุภาพเข้าไป
ตัวอย่าง : พี่รู้ว่าน้องธีร์อยากให้พี่เป็นช่วยดำเนินการประชุม แต่พี่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในฝ่ายนี้ พี่ขอตัวดีกว่านะ
Advertisement
Advertisement
- “ไม่” แบบมีเหตุผล : ปฏิเสธคำขอร้องโดยมีเหตุผลประกอบ ขอแนะนำให้เลือกเหตุผลที่ไม่อาจคัดง้างได้
ตัวอย่าง : พี่อยากจะช่วยธีร์ระดมสมองในที่ประชุมเย็นนี้นะ แต่พี่มีรายงานต้องทำ คงเข้าประชุมด้วยไม่ได้จ้ะ
- “ไม่” แบบสงวนท่าที : ปฏิเสธแบบไม่ตัดรอน เพราะยังอยากรักษาความสัมพันธ์เผื่อไว้วันหน้า
ตัวอย่าง : พี่คงไปช่วยธีร์เรื่องประชุมเย็นนี้ไม่ได้ เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะจ๊ะ
- “ไม่” แบบมีข้อแลกเปลี่ยน : ปฏิเสธแบบมีเยื่อใย ด้วยการอาสาทำอย่างอื่นให้แทน
ตัวอย่าง : พี่คงไปช่วยธีร์เรื่องประชุมเย็นนี้ไม่ได้ แต่ถ้าอยากได้ไอเดียอะไรก็ถามได้เลยนะ
Image by Methawee Krasaeden from Pixabay
- “ไม่” แบบเด็ดขาด : ปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่คน ๆ นั้นยังคงยื้อไม่เลิก
ตัวอย่าง :
คุณ : ไม่จ้ะธีร์ พี่คงไม่เข้าประชุมด้วย งานพี่เยอะมาก
ธีร์ : แค่ชั่วโมงเดียวเองนะครับพี่
คุณ : ไม่ดีกว่าจ้ะน้อง
ธีร์ : โธ่ ช่วยกันหน่อยนะครับ
คุณ : พี่ว่าไม่ดีกว่า
ธีร์ : รับรองว่าแค่ชั่วโมงเดียวจริง ๆ พี่ ถ้าเกินกว่านี้พี่เดินออกมาได้เลย
คุณ : (หนักแน่น) ไม่จ้ะ
Photo by Mattia Ascenzo on Unsplash
แรก ๆ คุณอาจรู้สึกใจร้าย แต่ถ้าคุณไม่ยอมฝึกพูดว่า “ไม่” คนอื่นจะเคยชินกับการขอให้คุณทำอะไรก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ และลงท้าย คุณจะกลายเป็นคนที่แบกรับความเครียดไว้ตามลำพัง
เริ่มต้นอาจตะขิดตะขวงใจ แต่ถ้าคุณปฏิเสธด้วยความจริงใจ สุภาพ ให้เกียรติ และมีเหตุมีผล ผู้คนจะเริ่มรับรู้ขอบเขตที่คุณวางไว้ และลงท้ายด้วยการนับถือคุณมากขึ้น
ความคิดเห็น






