อื่นๆ

เรื่องเล่าหลังความตาย

144
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เรื่องเล่าหลังความตาย

วันนี้ Jasmine มีเรื่องเล่า เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้จิตในการเข้าสนทนากับพระเกจิดัง เป็นถึงอดีตเจ้าอาวาสของวัดทางเหนือท่านหนึ่ง เนื่องจากท่านเป็นบุคคลที่น่าสนใจ เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นเกจิที่มีลูกศิษย์เคารพนับถือมากมาย เมื่อทราบข่าวว่าท่านมรณภาพ Jasmine ก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปศึกษา "ชีวิตหลังความตาย" ของท่าน

ซึ่งในเรื่องการไปสนทนานั้น Jasmine ได้ใช้วิชา “จิตศาสตร์” ที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา โดยเมื่อท่านละสังขารได้ไม่กี่วัน Jasmine ก็ถอดจิตไปสนทนา มองไปเห็นท่านนั่งสมาธิอยู่บนแท่นคล้ายก้อนหินใหญ่ ด้วยท่าที่สงบ จิตท่านดูสว่าง สะอาด วางจิตเบาๆ เป็นธรรมชาติ ระดับจิตเกือบจะอยู่พรหมต้นๆ เลย เลยเข้าไปนั่งรอท่าน ท่านลืมตาขึ้นช้าๆ  จากนั้นก็ได้สนทนากับท่าน

ในการสนทนากับท่าน มักเป็นแนวถามแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน  ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจลักษณะของชีวิตหลังความตาย แม้จะเป็นพระเกจิผู้มีสมาธิสูงก็ยังต้องอยู่ในกฎของวัฏจักรธรรมชาติแนวทางการปฏิบัติฝึกฝนของพระป่า ซึ่งJasmine จะเอามาเล่าเป็นเรื่องๆไป

Advertisement

Advertisement

ในช่วงแรกที่เจอกันท่านได้ถามว่า Jasmine ว่ามาหาท่านได้อย่างไร เลยตอบท่านไปว่าใช้วิธีการถอดจิตซึ่งท่านเองก็เล่าว่า ท่านเองก็เคยทำแต่กำหนดถอดจิตไปที่ใดไม่สามารถมองเห็นได้แต่ได้ยินเสียง ส่วน Jasmine สามารถมองเห็นได้ยินเสียงและสื่อสารโต้ตอบได้ ซึ่งตรงนี้มันขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและจากการสอนจากครูบาอาจารย์ และที่สำคัญคือกำลังของจิต ซึ่งการถอดจิตการมองด้วยตาทิพย์สำหรับประการที่Jasmineฝึกมาฝึกใหม่ๆ ก็แบบนี้เหมือนกัน แม้การเห็นด้วยตาทิพย์ ก็ค่อยๆ ขยับ จากเห็นแวบๆ มาเห็นภาพนิ่ง เริ่มเป็นภาพเคลื่อนไหว แต่เป็นขาวดำ จากนั้นก็เริ่มเป็นภาพสี ขยับได้เป็นช่วงๆ จนกระทั้งเข้าสู่เป็นเรื่องราวที่เราสามารถเห็นต่อเนื่อง จากสั้นๆ ก็ค่อยๆ นาน และเริ่มสื่อสารได้ แบบนี้แหละค่ะ

ภาพดอยอินทนนท์

Jasmine สังเกตุดูสถานที่ที่ดวงจิตท่านมานั่งสมาธิอยู่คือภูเขา ซึ่งคือดอยอินทนนท์นั้นเอง ซึ่งเป็นที่ที่ตอนมีชีวิตอยู่ท่านคุ้นเคยกับการธุดงค์มัน จึงเป็นสื่อที่บอกเราได้ว่า ดวงจิตเมื่อตายออกจากร่างจะมายังที่ที่ตนคุ้นเคยเป็นอันดับแรก เลยได้โอกาสเรียนถามท่านถึงว่าทำไมพระถึงต้องเข้าป่าออกธุดงค์ ฝึกอยู่ในเมืองไม่ได้หรือ

Advertisement

Advertisement

ก็ได้รับคำตอบว่า มันเป็นที่ที่ทดสอบจิตฝึกได้ดี ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และหนีพ้นจากความวุ่นวายจากสังคมรอบข้าง การที่เราได้สัมผัสกับธรรมชาติดิบๆ  ไม่มีความสะดวกอะไรมาสนอง เราต้องอยู่ให้ได้ อดทนให้ได้ มันสงบเหมาะกับการดูจิต ดูใจ ฝึกกาย มันให้เรารับรู้และชนะความกลัวทุกรูปแบบทั้งสัตว์ร้าย ผีสาง และโจรผู้ร้าย โรคภัย ความอดอยาก ฝึกให้เราต้องอยู่อย่างมีสติตลอดเวลา อย่างกลางคืน ป่ามันมืด  และเป็นเขตที่มีสัตว์ป่ามากมาย ทั้งแมลงก็มาก ผีก็กวน คนก็พร้อมจะปาดคอเรา กลางคืนแม้จะนอน ยังต้องเอาใบไม้แห้งโรยรอบกลด เพราะเวลาอะไรเดินเข้ามาเสียงใบไม้แห้งที่ถูกเหยียบมันจะเตือนเรา นั้นคือการอยู่อยู่มีสติทุกขณะจิต ต้องมีคาถากันผีสาง สะกดสัตว์ร้ายต่างๆด้วยที่เรียกว่าการทำ  รุกขมูล (เป็นการทำพิธีเชื่อว่าเป็นการกำหนดจิตปิดปากถ้ำไม่ให้สัตว์ออกมาทำร้ายเราได้ และตอนเช้าก็ต้องทำพิธีเปิดปากถ้ำ มิฉะนั้นสัตว์จะไม่สามารถออกมาหากินได้) การเข้าป่านั้น ออกมาถ้าไม่เตรียมตัวดีๆ จิตแข็งๆ ก็มีหวังป่วยตาย เกิดอุบัติเหตุหรือถูกสัตว์ทำร้าย หรือไม่ก็บ้าบอไปเลย ถ้าผ่านได้มันจะกลับมาอย่างผู้มีจิตแกร่ง มีคาถาอาคม มีความสงบ นั้นและที่ฝึกที่ดี แม้เจ็บป่วยก็ยังมีความรู้เรื่องหยูกยา ตำราสมุนไพร รักษาตัวเองและผู้อื่นได้

Advertisement

Advertisement

ซึ่งในเรื่องนี้เคยเรียนถามครูของJasmine ท่านเป็นพระเหมือนกัน แต่ท่านฝึกฝนอยู่ในเมือง ท่านสอนให้อยู่กับโลกปัจจุบันที่เราอยู่ให้ได้ ต้องฝึกท่ามกลางกิเลสมนุษย์ กิเลสเรา มองทุกอย่างเป็นประสบการณ์ แม้จะอยู่ในสถานที่วุ่นวายก็ต้องฝึกให้ได้ จิตต้องนิ่ง กายต้องเคลื่อนไหว จึงจะสำเร็จในธรรม ธรรมในที่นี้คือ ธรรมชาติที่แท้จริง  แม้การรักษาตัว ท่านก็สอนให้ใช้จิตในการรักษาตัวเองและผู้อื่นควบคู่กับการรักษาในระบบแผนปัจจุบันไปด้วย

พระ

เรียนถามท่านต่อ ถึงความแตกต่างของการมาอยู่ภพภูมิใหม่ (สภาวะหลังความตาย) ท่านว่ามันต่างกันมาก แม้จะเคยซ้อมตายมาก่อนซึ่งท่านก็เมตตาเล่าถึงสภาวะของการซ้อมตายกับตายจริงว่า วิธีซ้อมตายของท่านคือการนั่งสมาธิ จนจิตเข้าฌาน ไม่มีความรู้สึกใดๆ มันนิ่งสงบ เข้าฌานเป็นวันๆ เป็น เป็นอาทิตย์  ตัวมันเบาไร้ซึ้งการเชื่อมต่อกับกายเนื้อ ณ เวลานั้น ไม่หิว ไม่เมื่อย  จิตมันออกจากร่างคล้ายการถอดจิตแบบ Jasmine แต่มันก็เป็นช่วงสั้นๆ แต่เมื่อตายจริง  มันเบาแบบโหวงเหวง เหมือนว่าว ขาดสาย จิตมันออกกลัวๆ ขาดหลักยึด จะเอ่อ จะกล่าว พูดคุยกับใครก็ไม่มีใครรับรู้หรือสื่อสารสัมผัสกับเราได้ จิตก็กลัวแบบลึกๆ อ้ายตอนฝึกซ้อมตาย ใจมันก็รู้ว่าไงเราก็กลับมาปกติ เลยไม่รู้สึกกลัว  แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องจริง ต่อให้จิตฝึกมาไงก็อดกลัวบ้างไม่ได้

ซึ่งจากนั้น Jasmine ได้เล่าถึงคาถาและวิธีการถอดจิตขอตนให้ท่านทราบว่า คาถาที่ใช้ประจำคือ บทพุทธคุณ บทอิติปิโส  เพราะเป็นบทที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้า และ ระบบพลังคลื่นของบทสวดนั้นพอดีกับการวางจิต ส่วนการวางจิตขณะที่ถอดจิตนั้น เพียงนึกถึงจุดหมายปลายทางที่เราจะไป วางจุดไว้แล้วใช้จิตกำหนดไปที่นั้นเลย ถ้าเป็นจุดหมายผู้คน จะกำหนดไปที่ดวงจิตนั้นเลย เมื่อเจอแล้วค่อยๆ มองภาพถอยมุมให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ ถึงสถานที่ที่ดวงจิตนั้นอยู่ จากนั้นก็วางจิตราวกับเราอยู่ที่นั้น ไม่เกร็ง ไม่กด สบายๆ เหมือนเราคุยกับเค้าเหมือนเราอยู่ที่นั้น ไม่ได้คำนึงว่านี่เป็นเพียงแค่จิต นี่ตัวตนของเราและเรากำลังไปหาตัวตนของผู้นั้นแบบกายเนื้อเลย  แต่ถ้าเป็นสถานที่ จะกำหนดจุดที่เป็นจุดเด่นหรือที่เค้าเรียกว่า สัญลักษณ์ของที่นั้นเป็นจุดกำหนด แล้วก็กำหนดจิตไป เวลาไป อย่าชะงักหรือลังเล ไปเลย พุ่งไปเลย แต่แบบสบายๆ ไม่รีบร้อน ทำแบบต่อเนื่อง เมื่อถึงก็ซึมซับพลังสถานที่นั้นว่า เป็นไง ใช่ไหมอีกที ตามประสบการณ์ที่เราเรียนรู้ที่ที่นั้นมา แต่ทั้งหมด ต้องไม่กังวลว่ากายเนื้อจะเป็นไง เพราะจิตเราอยู่ทั้ง 2 ระบบเรียกว่าอยู่ 1 เวลา 2 มิติ ไปพร้อมๆ กัน

พระแต่ถ้าไม่มีกายเนื้อหรือสายใยขาดแล้ว อันนี้ Jasmine ก็ยังไม่แน่ใจ แต่ครูท่านสอนไว้ว่า ก็ไม่ต่างกับการถอดจิตที่ทำอยู่เพียงแต่เราถอดจิตครั้งเดียว ไปอยู่ที่ที่เรากำหนดไว้เลย ไม่ต้องกลับมาเข้าร่างกายเนื้อ เท่านั้นเอง  แต่อย่างไรก็ต้องมีสติ มีความสงบ ไม่ตื่นเต้น มีเป้าหมาย เป้าหมายจะเกิดจากการกระทำที่เราฝึกฝนตั้งเป้าและค่อยๆ วางจิตไปให้ถึงจนเคยชิน เมื่อถึงเวลานั้น ไม่กลัวเพราะมีสติ มีความเคยชิน อยู่แล้ว ข้อสำคัญ จิตต้องนิ่ง สงบ มุ่งมั่นมั่น อย่าวอกแวก ถ้ามันวอกแวก ราวกับจะควบคุมจิตไม่ได้ให้กำหนดเป้าหมายนั้นให้มั่น แล้วเอาจิตอยู่กับบทสวด จากนั้นธรรมชาติจะจัดสรรต่อเอง อีกอย่างการที่ท่านให้ไปศึกษาชีวิตหลังความตายของหลายๆท่าน หลายๆกรณี มันก็จะเป็นประสบการณ์ให้เรา เมื่อถึงเวลานั้นเราจะเข้าใจสิ่งต่างๆ สภาวะต่างๆมากขึ้น เพราะเคยได้เจอจากประสบการณ์ของผู้อื่นมาแล้ว

พระ

จากการที่ได้เข้าศึกษาสภาวะหลังความตายของพระเกจิท่านนี้ นับว่าเป็นเรื่องราวที่มีประโยชน์มากๆ หากท่านใดที่กำลังศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจิตอยู่เหมือนอย่าง Jasmine นี้ หากตั้งใจอ่านและจับทางให้ดี ก็สามารถนำสิ่งที่อ่านนี้ไปลองฝึกฝนและใช้ประโยชน์ได้ดีทีเดียว  และอีกสิ่งหนึ่งที่ได้จาการสนทนานั้น มันบอกได้เลยว่าไม่ว่าจะเป็นจิตระดับใด  ต่อให้ฝึกฝนมาระดับใด เมื่อถึงวาระที่ต้องละสังขาร อย่างไรก็ต้องมีความกลัว และเป็นสภาวะที่หนีไม่พ้น และจะมีสภาพเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับการกระทำครั้งยังมีชีวิตอยู่เป็นตัวกำกับต่างกับสภาวะยังมีชีวิตอยู่ เราสามารถทำอะไร ไม่อยากทำอะไรก็ได้ แม้การฝึกซ้อมตายก็ยังสมารถทำได้  ดังนั้นควรเลือกกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม สร้างบุญกุศลให้จิตจดจำแต่สภาวะที่ดี ที่อิ่มสุข เพื่อพ้นกายเนื้อ  จิตที่เคยชินกับคุณงามความดี จะพาเราไปยังเส้นทางจุดหมายที่มีแต่บุญกุศลลองรับในวันข้างหน้า

ขอขอบคุณภาพ หน้าปกจาก pixel2013/pixabay.com, ภาพที่ 1 จากPongdanai/pixabay.com /, ภาพที่ 2 จาก sciencefreak/pixabay.com, ภาพที่ 3 จาก terimakasih0/pixabay.com, ภาพที่ 4 จาก Zuper_Dragon/pixabay.com

เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์