อื่นๆ
เสียงที่หายไป...
กลางดึกคืนหนึ่ง หลังจากที่หล่อนเลิกงานที่โรงงานแล้วก็ขี่รถจักรยานยนต์ตรงกลับบ้าน ระหว่างที่รถแล่นไปตามท้องถนน มีผู้คนนั่งล้อมวงกัน กำลังร้องเพลงและดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน พอถึงบริเวณเชิงสะพานหล่อนก็จอดรถแวะหาอะไรกินแถวร้านสะดวกซื้อ หล่อนซื้ออาหารรองท้องมานิดหน่อย และหย่อนก้นนั่งพักที่ริมฟุตบาธ
หากเดินเยื้องไปก็เป็นสถานีรถไฟแล้ว แสงไฟที่ประดับสถานีรถไฟสาดส่องให้ตัวอาคารมีสีแดง เขียว เหลือง และชมพูไล่สีไปตามลำดับอย่างสวยงาม เจ้าหน้าที่สถานีในชุดเครื่องแบบงีบหลับบนเก้าอี้ มือหนึ่งแตะกระบองไว้ในท่าเตรียมพร้อม บริเวณนั้นช่างเงียบสงัด มีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟ พอที่จะมองเห็นรางรถไฟ ชานชาลา และพงหญ้าที่ขึ้นรกสองข้างทาง ช่องทางเดินเล็ก ๆ ข้างสถานีเป็นสะพานที่ทำจากเหล็กทาด้วยสีเขียว ในเวลากลางวันผู้คนแถวนี้ใช้เป็นทางลัดเพื่อจะได้ไม่ต้องเดินผ่านตัวสถานี
Advertisement
Advertisement
หลังจากหล่อนกินเสร็จเรียบร้อยก็ตัดสินใจเดินเล่นไปบนสะพานเหล็กแห่งนั้น ลัดเลาะไปชมแสงสีของสถานีรถไฟ ที่นี่มันช่างเงียบสงบ ไร้เสียงเครื่องจักรที่ทำงานอย่างบ้าคลั่ง พนักงานสายการผลิตนับพันที่พูดคุยกันอย่างเซ็งแซ่ และเสียงเครื่องตอกบัตรเข้างานที่ไม่เคยหยุดทั้งในเวลาปกติและล่วงเวลา
“ช่วยด้วย...ช่วยหนูด้วย!!!”
“นั่นเสียงใครกัน” หล่อนสะดุ้งโหยง พลันอุทานในใจ
กลิ่นอะไรบางอย่างลอยมาเตะจมูก หล่อนรีบเดินตามเสียงร้องยิ่งเข้าใกล้กลิ่นยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หล่อนแอบตัวอยู่ด้านหลังพงหญ้าสูงข้างทาง ชายฉกรรจ์อาการเหมือนคนเมายากำลังลวนลามเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหล่อน เด็กสาวดิ้นรนสุดชีวิต หล่อนหายใจหอบถี่ เหงื่อท่วมฝ่ามือกับภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้น
“หยุดซะทีเถอะอี… กูเหนื่อยแล้ว” เสียงตะคอกของชายฉกรรจ์คนเดิม ก่อนสาวหมัดไปที่ใบหน้าพร้อมอัดเข่า
ไปที่ท้องน้อย จนเด็กสาวล้มลงนอนคุดคู้อยู่บนพื้น ก่อนที่จะขึ้นคร่อมทับ ใบหน้าอันบวมช้ำของเด็กสาวหันมาทางหล่อพอดี สายตาคู่นั้นฉายถึงความหวาดกลัวและอ้อนวอน หล่อนพยักหน้ารับเป็นสัญญา
Advertisement
Advertisement
หล่อนตั้งสติครู่ใหญ่ และพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก นั่งคิดกลับไปกลับมา จึงนึกได้ว่าตอนเดินผ่านมีเจ้าหน้าที่สถานีงีบหลับอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ ผละตัวออกจากพงหญ้า พยายามก้าวเท้าอย่างเบาที่สุด ซึ่งสวนทางกับเสียงหวีดร้องชวนขนลุก
อย่างน่าเวทนาของเด็กสาวเคราะห์ร้ายคนนั้น
“ใครอยู่ตรงนั้นไอ้…” หล่อนไม่รอฟังจนจบประโยค สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งขาของหล่อนให้เร่งฝีเท้า
เป็นวิ่งสุดชีวิต พอรู้ตัวอีกทีหล่อนก็มาถึงสถานีรถไฟแล้ว
หล่อนหายใจอย่างเหนื่อยหอบ และฝืนวิ่งต่อ ตรงไปเขย่าตัวเจ้าหน้าที่สถานีที่กำลังหลับอยู่
“ช่วยด้วยคะ มีคนโดนทำร้ายแถวรางรถไฟ” เจ้าหน้าที่สถานีสะดุ้งโหยงจนเกือบตกเก้าอี้
“ว่า... ว่าไงนะครับ”
“มีชายคลุ้มคลั่งกำลังทำร้ายเด็กสาวอยู่ รีบไปช่วยเร็วเข้า” หล่อนตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก”
Advertisement
Advertisement
“ครับ ๆ ผมขอแจ้งตำรวจก่อน”
เจ้าหน้าที่สถานีรีบโทรศัพท์แจ้งสถานีตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือทันที หลังจากวางหูโทรศัพท์ลง ก็หยิบวิทยุสื่อสารข้างลำตัว กดติดต่อขอกำลังเสริมจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
“ไหนพาผมไปดูที่เกิดเหตุหน่อย เผื่อจะช่วยอะไรได้ก่อน”
“ทางนี้ค่ะ” หล่อนชี้มือไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“314 314 เปลี่ยน เหตุเกิดริมรางรถไฟแถว ๆ พงหญ้าข้างกองไม้หมอน เยื้องโรงซ่อม”
“รับทราบ” เสียงปลายสายตอบกลับ
ทั้งสองรีบรุดหน้าไปยังที่เกิดเหตุ แต่ทว่า...
“ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่พุ่มหญ้า รอยเลือดอะไรไม่เห็นมีเลยนะครับ”
“หนูสัญญากับน้องแล้วว่าจะเรียกคนมาช่วย” หล่อนพูดด้วยเสียงที่กังวลใจ
“งั้นกลับสถานีกันก่อน ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจัดการโดยตรงน่าจะดีกว่านะ”
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันนั่นเอง เสียงวิทยุที่ด้านข้างลำตัวของเจ้าหน้าที่สถานีก็ดังขึ้น
“315 315 กลับมาสถานีด่วน ตำรวจเรียกพบ”
“รับทราบ เปลี่ยน” เจ้าหน้าที่สถานีดึงวิทยุสื่อสารขึ้นตอบกลับ
ทั้งสองเดินกลับมายังสถานีรถไฟ ไทยมุงกลุ่มหนึ่งยืนออกันบริเวณหน้าสถานี ลานจอดมีรถตำรวจเทียบท่าอยู่สองคัน นายสถานีพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่างกวักมือเรียกเป็นพัลวัน
“เป็นยังไงบ้าง เจออะไรไหม”
“ไม่เจออะไรเลยครับ”
“ไม่เจออะไรก็ดีแล้ว บริเวณพงหญ้าข้างกองไม้หมอน เยื้องโรงซ่อมใช่ไหม” นายสถานีกล่าวแทรกหน้าถอดสี
“ใช่คะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หล่อนทำหน้าฉงน
นายสถานีหันไปดูตู้นาฬิกาแขวน เข็มสั้นเดินมาถึงเลขสาม ทันใดนั้นเสียงดังบอกเวลาทำเอาสะดุ้งกันทั้งสถานี
“สิ่งที่หนูเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิด แต่สิ่งที่วันนี้เกิดอาจเป็นสิ่งดีที่อยากมาเตือนหนูก็ได้” นายสถานีกล่าวทิ้งท้าย
ความคิดเห็น