อื่นๆ

เสียงสยอง

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เสียงสยอง

เสียงสยอง

ฉันทำงานเป็นผู้สื่อข่าวของนิตยสารเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ หน้าที่ของฉันก็คือไปสัมภาษณ์นักธุรกิจทั้งหลาย แล้วก็นำมาเขียนเป็นบทความลงในนิตยสาร

ฉันทำงานนี้มาหลายปี ยังไม่เคยเจอเรื่องอะไรแปลกๆ โดยเฉพาะเรื่องราวลี้ลับ เช่นเรื่องผีๆ สางๆ ก็ไม่เคยพาดผ่านเข้ามาในวิถีชีวิตของฉันเลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่ด้วยวิถีชีวิต ฉันคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องห่างตัวจริงๆ

กระทั่งวันหนึ่ง ฉันได้รับคำสั่งจากหัวหน้า ให้ไปสัมภาษณ์นักธุรกิจท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกค้าของเรา โจทย์คือต้องการให้เขียนถึงชีวิตการทำงาน และไลฟ์สไตล์ประจำวันของเขาด้วย ซึ่งท่านนี้ ได้เชิญให้ฉันไปสัมภาษณ์เขาที่บ้าน แทนที่จะเป็นที่บริษัท เหมือนท่านอื่นๆ

วันที่ฉันไปสัมภาษณ์ เป็นจังหวะเดียวกับที่ช่างภาพลาไปทำธุระ ซึ่งปกติเขาจะไปกับฉัน และคอยถ่ายรูปให้ แต่คราวนี้ กลายเป็นว่า ฉันต้องไปคนเดียว ทั้งสัมภาษณ์และถ่ายรูปเองด้วย

Advertisement

Advertisement

วันที่ฉันไปสัมภาษณ์นักธุรกิจท่านนี้ ฉันก็รู้ทันทีว่า ทำไมเขาถึงนัดฉันไปสัมภาษณ์ที่บ้าน นั่นก็เพราะ ธุรกิจที่เขาทำ คือธุรกิจหินอ่อน แล้วบ้านของเขา ไม่สิ ต้องเรียกว่าอาณาจักรของเขา เต็มไปด้วยปะติมากรรมหินอ่อนเรียงรายมากมายเต็มไปหมด ซึ่งมันดูงดงามมากเลยทีเดียว

ฉันศึกษาแบล็กกราวของนักธุรกิจท่านนี้มาพอประมาณ ทราบว่า เขากับภรรยา เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ที่ทำงานเกี่ยวกับหินมาตั้งแต่ยังรุ่นๆ ตั้งแต่เป็นลูกน้องเขา จนเริ่มบุกเบิกทำธุรกิจนี้เอง ซึ่งในวันนี้เรียกว่า ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามร่ำรวยเป็นถึงระดับเจ้าสัวเลยก็ว่าได้ แต่น่าเสียดาย ที่ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากมาด่วนจากไปด้วยโรคร้ายเมื่อปีก่อน ทำให้ไม่ได้อยู่เคียงคู่ดูความสำเร็จของท่านเจ้าสัว ที่นับวันจะเฟื่องฟู

ฉันได้รับเชิญให้เข้าไปในคฤหาสถ์หลังใหญ่โต ที่สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนทั้งหมดนั่น เจ้าสัวอนุญาตให้ฉันถ่ายรูปไปลงหนังสือได้ตามสบาย ทุกซอกทุกมุม เพราะจุดประสงค์ของเขา ก็อยากจะโชว์บ้านของตัวเองอยู่แล้ว

Advertisement

Advertisement

“สัสดีค่ะท่าน หนูขอเริ่มบันทึกเสียงบทสัมภาษณ์ระหว่างที่เราคุยกันเลยนะคะ”

“ครับ...ตามสบายเลย สนใจอะไรถามได้ หรือ อยากดูมุมไหนของบ้านก็จะพาไปครับ”

“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่า ที่บ้านหลังนี้ ท่านอยู่คนเดียวเหรอคะ”

เจ้าสัวเงียบไปแป๊บนึง ทำให้ฉันรู้สึกผิด ว่าถามละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า

“จริงๆ แล้ว ผมก็พยายามชวนคนอื่นมาอยู่ด้วยนะครับ ทั้งญาติพี่น้อง ทั้งลูกหลาน แต่ก็อยู่ไม่ได้นาน ไม่รู้ทำไม”

ฉันเห็นเจ้าสัวเหมือนไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้ จึงเปลี่ยนประเด็นเข้าเรื่องงานต่อ พอนั่งสัมภาษณ์ในห้องรับแขกได้สักระยะ ท่านก็พาเดินดูบ้าน พร้อมแนะนำห้องต่างๆ รวมทั้งประติมากรรมหินอ่อนในแต่ละห้อง จนกระทั่งมาหยุดที่ห้องๆ หนึ่ง

“ห้องนี้ เป็นห้องส่วนตัวของภรรยาผมที่เสียไปครับ เธอสะสมงานแกะสลักหินที่มีมูลค่าสูงไว้มากมาย คุณสนใจเข้าไปดูไหม” เจ้าสัวพูด พร้อมกับเอื้อมมือเปิดห้องเข้าไป

Advertisement

Advertisement

ฉันไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็อยากเห็นเหมือนกัน เลยเดินตามเข้าไป

“ออกไป”

ฉันหันควับ เมื่อได้ยินเหมือนเสียงใครสักคนพูด แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใคร นอกจากฉันกับเจ้าสัว ฉันเริ่มรู้สึกว่า ห้องนี้วังเวงยังไงพิกล เจ้าของห้องเขาคงหวง และไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่มย่าม

“ท่านคะ หนูว่า เราออกจากห้องนี้กันเถอะค่ะ”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ปะ เปล่าค่ะ หนูแค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”

ฉันบอกกับท่านเจ้าสัวไปตามตรง ว่าไม่ค่อยอยากอยู่ในห้องนี้นานๆ เพราะฉันรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ท่านก็เข้าใจ และพาไปดูห้องอื่นๆ ต่อ ฉันสัมภาษณ์และถ่ายรูปจนได้ข้อมูลมากพอสมควรแล้ว จึงขอตัวกลับ

พอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็มานั่งฟังเทป ที่บันทึกเสียงสัมภาษณ์ว่าเสียงดังฟังชัดดีหรือไม่ ก่อนที่จะลงมือถอดเทปออกมาเป็นตัวหนังสือต่อไป

ปกติแล้วฉันก็ไม่ได้ขยัน หอบงานมาทำที่บ้านอะไรนักหนาหรอกค่ะ เพียงแต่งานชิ้นนี้ค่อนข้างเร่ง ฉันก็อยู่คนเดียวที่ห้องว่างๆ ก็เลยเอาเทปมานั่งถอด หลังจากกินข้าว อาบน้ำเสร็จแล้ว

ฉันนั่งฟังเสียงสัมภาษณ์จากหูฟัง แล้วก็ถอดเทปไปเรื่อยๆ จนเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ก็ถึงช่วงหนึ่งของบทสัมภาษณ์ เป็นช่วงที่ฉันยิงคำถามเรื่องส่วนตัว แบบแซวท่านเล่นๆ ไม่ได้คิดจะเอาไปเขียนหรืออะไร

“ภรรยาท่านก็เสียไปเป็นปีแล้ว อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอคะท่าน”

“ก็เหงาเหมือนกันนะครับ มองหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนเหมือนกัน แต่ผมแก่แล้ว ใครจะมาสน” เจ้าสัวพูดยิ้มๆ

“แหม! แก่ที่ไหนกันคะ ท่านยังดูแข็งแรงเหมือนหนุ่มๆ เลย”

....“อย่ามายุ่ง  ออกไป”.....

อยู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนแทรกมาในเทป เป็นเสียงผู้หญิง และฉันมั่นใจกันว่า ตอนที่นั่งคุยกันอยู่ ไม่มีเสียงใครทั้งนั้น

“เสียงใครวะ” ฉันพึมพำกับตัวเอง พร้อมทั้งกรอเทปฟังอีกครั้ง แต่ก็ยังมีเสียงเดิมนั่นแทรกเข้ามาอีก แต่เสียงมันเบาๆ แว่วๆ เข้ามาเท่านั้น

ฉันเริ่มกังวลนิดๆ แต่ก็ไม่ใช่คนขี้กลัวอะไรนักหนา จึงตัดสินใจถอดเทปต่อไป

“บอกว่าอย่ามายุ่งกับผัวกู ออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!

“เฮ้ย! อะไรเนี่ย”

ทั้งเสียงตวาดของผู้หญิง และเสียงกรี๊ดอย่างโหยหวนแทรกเข้ามาทำเอาฉันแก้วหูแทบแตก ต้องรีบดึงหูฟังออกจากหูตัวเองแทบไม่ทัน แล้วอยู่ๆ ไฟในห้องก็ดับ

ฉันรู้สึกกลัวมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ต้องใจดีสู้เสือ คว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองกลับมาใหม่ เพื่อจะเปิดไฟฉาย แต่ก็เห็นว่า ไฟล์เสียงที่บันทึก กำลังเล่นอยู่อย่างต่อเนื่อง กลัวก็กลัว แต่มันก็อยากรู้ว่า ไอ้ที่ได้ยินเมื่อกี้ มันอะไรกันแน่ ฉันดึงหูฟังออก เปิดลำโพงโทรศัพท์ แล้วก็ฟังแทน เสียงกรี๊ดบ้าๆ นั่นหายไปแล้ว แต่เสียงสัมภาษณ์กลับเหมือนมีคลื่นแทรกตลอดเวลา ฟังไม่ชัดเลย

ฉันรู้สึกได้ในทันทีว่า เสียงนั่น คงเป็นเสียงของเมียเจ้าสัวแน่ๆ แกคงไม่พอใจที่ฉันเข้าไปในบ้าน แถมยังไปถามเรื่องส่วนตัวของเจ้าสัวอีก ท่าทางเธอคงหวงเจ้าสัวมากทีเดียว

ตกลงว่าคืนนั้น เป็นอันต้องเลิกถอดเทปแล้วเข้านอนทันที มันก็น่าแปลกที่อยู่ๆ ไฟดับ แต่พอฉันปิดโน้ตบุ๊กเลิกทำงาน ก็ติดขึ้นมาทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันเข้าไปเล่าเรื่องนี้ให้บอสฟัง แต่บอสก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่ก็บอกกับฉันว่า ถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องทำ แกจึงเอาไฟล์บันทึกเสียงจากฉัน ไปให้คนอื่นฟัง และถอดเทปแทนฉัน แต่คนอื่นกลับไม่ได้ยินเสียงสยองนั่นเหมือนที่ฉันได้ยิน

เมียเจ้าสัว อาจจะไม่พอใจฉันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่สำหรับงานนี้ ฉันยืนยันกับทุกคนได้ ว่าได้ยินเสียงนั่นจริงๆ ซึ่งเจ้าสัวเองก็เชื่อสิ่งที่ฉันเล่า แกบอกว่า เมียของแกเฮี้ยนจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่แกพาผู้หญิงคนอื่นมาที่บ้าน อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้เจ้าสัว มีใครใหม่ไม่ได้

ฉันเองก็ไม่อยากสืบสาวราวเรื่องอะไรให้จุ้นจ้านวุ่นวายมากเกินไปอีก ได้แต่ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณเมียเจ้าสัว แล้วขออมาที่ทำอะไรให้ไม่พอใจ และขอให้งานสัมภาษณ์ชิ้นนี้ผ่านไปด้วยดี

...กระทั่งผ่านไปนานแล้ว ฉันก็ยังไม่กล้านั่งถอดเทปสัมภาษณ์คนเดียวตอนกลางคืนอีกเลย เก็บไว้มานั่งทำที่ทำงานดีกว่า....

..................

ภาพโดย Mandyme27 จากPixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์