อื่นๆ

เสียงสวด...เขย่าขวัญ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เสียงสวด...เขย่าขวัญ

นานแล้วที่ฉันได้ย้ายตัวเองมาทำงานและอยู่อาศัยในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ โดยพื้นเพเดิมฉันเป็นคนจังหวัดพิษณุโลก แต่ด้วยภาระหน้าที่การงานฉันจึงมีโอกาสได้กลับไปที่นั่นแค่ปีละ 3-4 ครั้ง เฉพาะในเทศกาลสำคัญ ๆ ที่มีวันหยุดยาว เพื่อเยี่ยมพ่อแม่และญาติพี่น้องที่ยังคงอยู่อาศัยในหมู่บ้านที่นั่น และหลายครั้งที่กลับไปก็มักจะได้ยินเรื่องเล่าจาก "น้องสะใภ้" ที่เพิ่งแต่งงานกับน้องชายแล้วย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนั้น  บ้านที่ฉันเกิดและเติบโตก่อนจะย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ  ที่นั่นมีสมาชิกที่อยู่อาศัยในบ้านทั้งหมด 4 คน คือ พ่อ แม่ น้องชายและน้องสะใภ้

บ้านหลังนั้นเป็นบ้าน 2 ชั้น อายุราว ๆ 50 กว่าปี ชั้นบนเป็นไม้สักมี 1 ห้องนอน เสาไม้ทุกต้นของบ้านจะมีผ้ายันต์ติดไว้ด้านบน โดยพ่อเล่าว่าสมัยก่อนไม้ที่ทำบ้านเป็นไม้ที่ได้มาจากการสัมปทาน เป็นไม้ป่าที่ถูกลำเลียงมาจากทางภาคเหนือ เสาทุกต้นผ่านการสวดสะกดจากพระเกจิอาจารย์สมัยนั้น ก่อนถูกนำมาสร้างบ้านเรา บนชั้น 2 นี้ โถงด้านนอกพ่อได้ตั้งโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่ไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่สำหรับกราบไหว้บูชา ถัดมาด้านล่างเป็นบ้านปูน มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวและห้องรับแขก

Advertisement

Advertisement

ห้องนอนชั้น 2 ของตัวบ้านเคยเป็นห้องนอนของฉัน แต่เมื่อฉันย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ห้องนั้นจึงถูกปิดไว้ ส่วนพ่อ แม่ น้องชายและน้องสะใภ้ใช้ห้องนอนด้านล่าง จนมาวันหนึ่งเมื่อพ่อต้องการต่อเติมบ้านด้านล่าง น้องชายและน้องสะใภ้จึงต้องขึ้นมาใช้ห้องนอนที่ชั้น 2 ของบ้านชั่วคราว แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นกับน้องสะใภ้ โดยเธอเล่าว่า

“ปกติทุกวันพระแม่จะขึ้นมาสวดมนต์ที่ชั้น 2 ทุกเช้า พร้อมกับถวายข้าวที่โต๊ะหมู่บูชา เวลาที่แม่ขึ้นมาหนูจะได้ยินเสียงแม่ลากเก้าอี้พลาสติกสีขาวมานั่งสวดมนต์เพราะแม่หัวเข่าไม่ดีนั่งพื้นไม่ได้ คืนนั้นน้องชายพี่เข้าเวรดึก หนูนอนในห้องคนเดียวประมาณตี 2 ได้ หนูได้ยินเสียงคนเดินด้านนอกห้อง แล้วมีเสียงลากเก้าอี้ หนูก็คิดว่าเอ๊ะทำไมแม่ถึงตื่นมาสวดมนต์ตอนนี้ นี่ยังไม่เช้าเลย”

สักพักเธอได้ยินเสียงสวดมนต์เบา ๆ ด้านนอก เธอเริ่มรู้สึกว่านั่นน่าจะไม่ใช่เสียงของแม่ เธอจึงพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ในขณะที่ตอนนั้นกลิ่นธูปหอมบาง ๆ ก็ลอยมาปะทะจมูกเธอ ทันใดนั้นเธอก็คิดได้ว่า คืนนี้เป็นคืน “วันโกน” ก่อนเข้าสู่ “วันพระ” เสียงด้านนอกที่ได้ยินนั้นต้องไม่ปกติแน่ ๆ ไม่ใช่แม่แน่ ๆ เธอจึงหันไปมองด้านบนวงกบประตูซึ่งเป็นกระจกใส ปรากฏว่าไม่เห็นแม้แต่แสงไฟ ซึ่งปกติคงไม่มีใครปิดไฟสวดมนต์แน่ ๆ   

Advertisement

Advertisement

“ตอนนั้นหนูเริ่มกลัวแล้วพี่ ใจเริ่มสั่น มือเย็นมาก พอหนูตั้งสติได้หนูเริ่มสวดมนต์ในใจ ยิ่งหนูสวดเท่าไหร่เสียงสวดมนต์ด้านนอกยิ่งดังขึ้น... ดังขึ้น หนูสวดมนต์สู้กับเขาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงจนหนูทนไม่ไหว หนูอยู่ในห้องไม่ได้ หนูตัดสินใจเปิดประตูออกไป หนูคิดว่าหนูต้องลงไปห้องนอนแม่ชั้นล่างให้ได้ ไปดูให้เห็นกับตาว่าแม่นอนอยู่ในห้องนอนไหม พอหนูเปิดประตูออกไปหนูนี่ขนลุกทั้งตัว ด้านนอกตรงโต๊ะหมู่บูชามีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครจุดธูป ไม่มีใครนั่งสวดมนต์อยู่ตรงนั้น หนูกระโดดลงบันไดไปชั้นล่างเลยพี่ เดินไปเคาะประตูห้องนอนพ่อกับแม่ ปรากฏว่าเขานอนหลับกันอยู่ในนั้น แล้วสิ่งที่หนูเจอคืออะไร หนูถามตัวเองซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้น ตัวนี่แข็งไปหมด”

คืนนั้นเธอต้องอาศัยนอนในห้องพ่อกับแม่ เพราะสิ่งที่เธอเจอทำให้เธอไม่กล้าที่จะขึ้นไปนอนบนห้องชั้น 2 คนเดียว เธอยังเล่าว่า ก่อนหน้านี้วันแรกที่เธอย้ายเข้ามาที่บ้าน เธอนอนพักผ่อนตอนกลางวันในห้องนอนด้านล่าง ในขณะที่กำลังจะหลับ เธอเห็นผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาที่เตียง หญิงคนนั้นตัดผมสั้นใส่น้ำมันที่ผมจนเป็นเงา แล้วหวีเสยไปด้านหลัง ใส่เสื้อคอกระเช้าแล้วสวมโจงกระเบนแบบผู้หญิงโบราณ ผู้หญิงคนนั้นก้มเข้ามาจ้องหน้าเธอที่นอนพยายามลืมตาแล้วถามเธอว่า “นี่ใครจ๊ะ…มาทำอะไรที่นี่” เธอบอกว่าเธอพยายามจะตอบแต่ก็พูดไม่ได้ เสียงที่พยายามเปล่งออกมามันช่างยากลำบากเหลือเกิน อยากขยับตัวก็ขยับไม่ได้ น้ำตาเธอเริ่มไหล เธอได้แต่ตอบในใจว่า “คุณยายขาหนูมาขออาศัยอยู่ด้วยคน” สิ้นคำของเธอ หญิงสูงวัยคนนั้นยิ้มที่มุมปากแล้วเดินหายออกประตูไป ส่วนตัวเธอก็เหมือนหลุดจากภวังค์ แล้วลุกขึ้นนั่งทบทวนว่าสิ่งที่พบเจอนั้นคืออะไร

Advertisement

Advertisement

พ่อกับแม่ปลอบใจเธอว่า “ไม่มีอะไรหรอก เจ้าที่เจ้าทางเขามาทักทาย คนมาใหม่เขาก็อยากจะรู้จัก เวลาไหว้พระก่อนนอนก็ระลึกถึงเขากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เขาบ้างเขาจะได้คุ้มครองดูแล”

เล่าเรื่อง : nana n nana

ภาพ : nana n nana

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์