อื่นๆ

ทำไมฉันมาเป็นสตาฟคอนเสิร์ตนะ??

2.4k
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ทำไมฉันมาเป็นสตาฟคอนเสิร์ตนะ??

ทำไมฉันถึงมาเป็นสตาฟคอนเสิร์ตนี้นะ.

งานคอนเสิร์ต

เป็นคำถามที่เหมือนก่อนนั้นก็คงคิดว่า ก็เพราะฉันอยากได้เงินไงละ ฉันทำไปเพราะอยากมีเงินที่หามาได้ตัวเอง ซื้อของที่อยากได้ด้วยตัวเอง ถ้าจะให้พูดถึงงานสตาฟงานแรกที่ฉันทำนั้น จะอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างไรความตื่นเต้น ความอยากรู้อยากเห็นมาเป็นลำดับที่1 เลย

การได้มาทำงานพร้อมเพื่อนๆในวันที่โดดเรียนมานั้น สนุกและตื่นเต้นที่สุดแล้วแต่ที่ตื่นเต้นกว่านั้นคือมาถึงหน้างานแล้วรู้ว่าศิลปินที่จะได้ทำงานด้วยนั้นคือ ศิลปินเกาหลีที่เบิกทางให้กับเด็กไทยหลายๆคนในวันนี้ นิชคุณ 2pm มาเปิดตัวเป็นพรีเซนเตอร์มือถือยี่ห้อดัง ในใจกลางเมือง ในตอนนั้นเสียงกรี๊ดของแฟนคลับที่ดังสนั่นห้าง มาพร้อมกับความงง ของฉันว่าอะไรที่ทำให้คนเราชอบศิลปินคนนี้ได้ขนาดนี้ อะไรที่ทำให้เรากรี๊ดดังพร้อมกันขนาดนี้นะ เป็นคำถามที่คิดในใจแต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบในตอนนั้นหรอก เพราะฉันก็ไม่รู้จักคำว่า kpop เลย สนใจแค่มาทำงานแล้วได้เงินกลับบ้านไปซื้อของที่ตัวเองอยากได้ก็พอ

Advertisement

Advertisement

งานแรกในวันนั้นง่ายมากๆ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จแล้ว ที่หน้างานนั้นก็จะมีข้าวและน้ำเลี้ยง1มื้อด้วย ทำให้ค่าแรง400 บาท นี้ทำให้วันนั้นเป็นวันคุ้มค่ามากๆ และเป็นประสบการณ์ที่อยากให้มันมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่าแรงต่อวันในตอนในปี 2554 ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากๆสำหรับเด็กมอปลาย ทำให้ฉันติดใจกับงานที่ชื่อว่าสตาฟ ได้ไม่อยากเลยทีเดียวงานสตาฟครั้งแรกในชีวิต

หลังจากงานในวันนั้นฉันก็รับงานสตาฟมาเรื่อยๆ จากงานสตาฟอีเว้นท์ในวันนั้น ฉันก็ได้รู้จักกับคำว่า usher concert คอนเสิร์ตแรกของฉันคืองานอะไรนะ...............? นึกยังไงก็จำไม่ได้ 5555555 ไว้ฉันนึกออกจะกลับมาตอบนะคะ

เวลาผ่านไปเร็วมากๆ จากusher กลายมาเป็นhead usher ใช้เวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายปีจนผู้ใหญ่เห็นถึงความสามารถของฉัน แต่แน่นอนละ. มันได้เงินเยอะกว่าusher อยู่แล้ว แต่ความรับผิดต่อหน้าที่นั้นมากมายยิ่งกว่ากดดันมากกว่า แต่ฉันก็ทำมันผ่านมาได้

Advertisement

Advertisement

จากhead usher ในวันนั้น เวลาพิสูจน์ความรับผิดชอบต่อหน้าและความสามารถของฉัน. ฉันใช้เวลากว่า เกือบ6 ปี จากhead usher Supervisor

มาเป็น supervisor ใน ปี2562  จนถึงตอนนี้ ฉันได้รับผิดชอบดูแลงานคอนเสิร์ตหรือเฟสติวัลใหญ่ๆหลายงานเลย. แต่กว่าจะผ่านมันมาได้นั้น ฉันเคยกดดันจนร้องไห้ต่อทีมงาน มาหลายครั้งจากการตัดสินใจพลาดเพียงเล็กน้อย แต่การถูกตำหนิในครั้งนั่นทำให้ฉันได้บทเรียนเล่มใหญ่มาพกติดตัวเลย ความกดดันที่แบกรับ การดูทีมงานหลายคนต่องานนึงนั้นต้องใส่ใจทั้งคำพูดที่จะพูดออกมา การบรีฟงานที่ต้องถี่ถ้วนให้ทุกคนเข้าใจในเนื้องาน และทำให้งานออกมาราบรื่น ต้องมีทั้งความใส่ใจและความเชื่อใจไปด้วย

และใช่ค่ะในปี2563 นี้ ตั้งแต่มกราคมจนถึงวันนี้ฉันมีงานคอนเสิร์ตอีเว้นท์ แค่ 5 งาน ขอบคุณที่ทำให้ฉันได้มีเวลาว่างมาเขียนเรื่องนี้

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์