อื่นๆ

นิยายไวรัสมรณะ หนึ่งชะตาพลิกโลก (ตอนจบ)

107
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
นิยายไวรัสมรณะ หนึ่งชะตาพลิกโลก (ตอนจบ)

นิยายไวรัสมรณะ หนึ่งชะตาพลิกโลก (ตอนจบ)

หมายเหตุ : นิยายเรื่องนี้ แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

ที่สำคัญคือป้ายสถานีทำให้ผมรู้ว่า เหลืออีกเพียงสถานีเดียวก็จะถึงสถานีรถไฟฟ้าใกล้บ้านที่ผมอาศัยแล้ว

เหมือนปาฏิหาริย์...

หลังจากรถไฟฟ้าจอดที่สถานี ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก ผมดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ก่อนวิ่งออกจากประตูรถและสับฝีเท้าสุดชีวิต เพื่อหนีอันตรายจากชายแปลกหน้าสองคนที่พูดจาประหลาดๆ สุดชีวิต

ไม่แม้แต่จะเหลียวหันกลับมามองว่าทั้งสองคนตามผมมาหรือไม่

ผมวิ่งขึ้นบันได โดยไม่รอขึ้นบันไดเลื่อน ก่อนล้วงเอาบัตรรถไฟฟ้าในกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว บัตรรถไฟฟ้าร่วงหลุดมือตกบนพื้น
ผมสบถด้วยความหัวเสีย ถอยกลับมาหยิบบัตรรถไฟฟ้าบนพื้น ก่อนจะวิ่งสับฝีเท้าตรงไปที่จุดปี๊ปบัตรทางออก

สถานีรถไฟใต้ดินบรรยากาศภายในสถานีรถไฟฟ้าแห่งนี้ ไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว นอกเสียจากเจ้าหน้าที่ประจำสถานี 1 คนนั่งอยู่ในห้องออกบัตรโดยสาร ผมเหลือบไปมองเพื่อจะขอความช่วยเหลือ แต่กลายเป็นว่าภาพที่เห็นคือ เจ้าหน้าที่นั่งตัวแข็งทื่อ แววตาเลื่อนลอย คล้ายโดนอะไรบางอย่างควบคุมไว้

Advertisement

Advertisement

​​นี่มันบ้าชัดๆ

​​​​​​ผมปี๊ปบัตรออก

แล้วโชคชะตาก็มักจะเล่นตลกกับผมอยู่เสมอ
สถานีแห่งนี้ มีทางเดินที่เรียกได้ว่า ยาวที่สุดในบรรดาสถานีรถไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว

แต่ช่างหัวมัน...ตอนนี้ ขอให้พ้นจากพวกมัน หวังว่าเมื่อออกจากสถานีแล้ว จะมีรถ Taxi หลงเหลือสักคัน รอรับผู้โดยสารที่กำลังกลับในยามวิกาลบ้างเถอะ หรือจะให้วิ่งไปเกือบ 2 กิโลจนถึงสถานีรถไฟฟ้าบ้านตัวเอง ผมก็ยอม

ทันใดนั้น...

อยู่ดีๆ แสงไฟตลอดทางเดินภายในตัวสถานีรถไฟฟ้า ก็เริ่มกระพริบติดๆ ดับๆ ไปตลอดทาง เหมือนมีอำนาจของพลังงานบางอย่างควบคุมมันไว้

หัวใจผมเริ่มเต้นรัวเหมือนกำลังจะระเบิด เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังมาไกลๆ แต่ทำไมเสียงฝีเท้า ถึงดังกึกก้องเข้าไปในโสตประสาท จนแทบทำให้ผมเสียสติมากขึ้น

ทางเดินสถานีรถไฟเคร้งงงงง…

เรื่องน่าขนลุกยิ่งไปกว่านั้น เกิดขึ้นตรงหน้าผม
กระป๋องน้ำอัดลมต่างๆ นาๆ ที่อยู่ในตู้หยอดเหรียญสำหรับซื้อเครื่องดื่มภายในสถานี ระเบิดออกมาจากตู้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไหลระนะระนาดออกมาจากตู้ กลิ้งเกลื่อนกลาดเต็มพื้นทางเดินตรงหน้าผม

Advertisement

Advertisement

วินาทีนั้น สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดเริ่มทำงาน

แต่ยังไม่ดีพอ...

ในเมื่อแสงทางเดินติดๆ ดับๆ ทำให้สายตาของผมมัวแต่ให้ความสนใจกับแสงไฟที่ทำงานผิดปกติ จนไม่ทันระวังการหลบหลีกเจ้าพวกกระป๋องน้ำอัดลมทั้งหลายที่กลิ้งไปมาเต็มพื้น และเข้าหาตัวผม

วินาทีนั้น...

ผมเสียการทรงตัว และลื่นไถลไปกับกระป๋องน้ำอัดลมใบนึงที่เข้ามาอยู่ในวิถีการวิ่งมั่วๆ ซั่วๆ ของตัวเอง ทำให้ผมไถลล้มไปกับพื้น เคราะห์ยังดีตรงที่เอามือยันพื้นไว้ก่อนเสียการทรงตัวกระแทกพื้น แต่ก็ทำให้มือเกิดอาการซ้น ความเจ็บปวดเริ่มลุกลามไปตลอดช่วงแขนขวา

ผมกัดฟันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกตัววิ่งอีกครั้งด้วยใจเต้นระส่ำ ด้วยเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้ามานั้นใกล้มาก

มากเสียจน ผมคิดไปว่า พวกมันอยู่หลังผมนี่เอง...

โชคเป็นของผมแล้ว

ตรงหน้าคือสามแยกที่จะบังคับให้ผมต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ไปขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นสู่ด้านบนของสถานี...

Advertisement

Advertisement

รอยยิ้มของผมเกิดขึ้นไม่ถึงเสี้ยววินาที...
ชายชุดดำสองคนที่ผมเห็นบนรถไฟฟ้า ต่างเดินแยกกันออกมาจากสามแยกตรงหน้า เหมือนปาฏิหาริย์...

สถานีรถไฟที่ยาวที่สุด

พวกมันมาอยู่ตรงหน้าผมได้ยังไง ในเมื่อผมยังได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังผมมาโดยตลอด

เวรแล้ว...

ผมหยุดวิ่ง จนรองเท้าผ้าใบที่ผ่านการใช้งานมาแล้วเกือบปีจนพื้นสึกหรอ เกือบทำให้ผมเสียการทางตัวอีกครั้ง เดชะบุญที่ผมทรงตัวไว้ทัน ก่อนจะลื่นลมเป็นครั้งที่สอง

ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกมัน...

ไฟตลอดทางเดินยังคงกระพริบติดๆ ดับๆ อยู่อย่างนั้น

ผมไม่มีทางไปแล้ว...

“คุณไปไหนไม่รอดหรอก นอกเสียจากคุยกับเรา”

“จะเอาชีวิตผมเหรอ ผมไปทำอะไรให้พวกคุณ ถึงมาตามล่าผมแบบนี้”

“เราไม่ได้ตามล่า เราแค่มาหยิบยื่นโอกาส”

“โอกาสอะไร”

“โอกาสที่จะได้ช่วยคนที่คุณรัก”

“แม่...” ผมอุทานเบาๆ พลางตกใจสุดขีด ที่อยู่ดีๆ พวกมันจะรู้จักแม่ผมได้ยังไง หรือว่า...พวกมันกำลังจะทำร้ายแม่

“พวกแกจะทำอะไรกับแม่ ผมไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาทำร้ายแม่หรอก” ผมเริ่มเปลี่ยนสรรพนามพวกมัน ด้วยอาการโกรธ แววตาถมึงทึง พร้อมจะแลกด้วยชีวิต หากพวกมันทำอะไรแม่

“เปล่า...เราไม่ได้ทำอะไรแม่คุณแม้แต่นิดเดียว...แต่เรากำลังจะช่วยแม่คุณ ให้หายจากไวรัสมรณะที่เกิดขึ้นตอนนี้ต่างหาก”

ผมตะลึงกับคำพูดที่เกิดขึ้น สมองเริ่มทำงาน ถึงสิ่งที่เหมือนจะได้ยินมา เกี่ยวกับข่าวชายชุดดำแปลกหน้า ที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวที่บ้านหญิงชราคนนึงของประเทศสาธารณรัฐอาบักกา และมอบยารักษาไวรัสกลายพันธุ์มรณะที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกให้กับเธอ จนเธอสามารถรักษาไวรัสดังกล่าวจนหายขาดเป็นปลิดทิ้ง

“พวกคุณคือ...คนที่เคยปรากฏตัวที่ประเทศอาบักกา” ผมพยายามพูดช้าๆ เพื่อรวบรวมสติตัวเอง

“ใช่...”

สมองผมเกิดอาการตื้อไปชั่วขณะ มือขวาหยิกแขนซ้ายตัวเองแรงๆ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป นี่มันเรื่องบ้าบอที่สุดในชีวิตที่เคยเจอมา ปกติ ผมก็ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับบ้าบออะไรแบบนั้นอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เจอตรงหน้า มันคือเรื่องจริง

“ถ้าอย่างนั้น...ทำไมต้องเป็นผม”

“มันเป็นเรื่องของโชคชะตา...และเราก็จับตามองคุณมาสักพักแล้ว...ส่วนทำไมต้องเป็นคุณนั้น...คุณจะเป็นผู้ตอบคำถามนั้นเอง...ไม่ใช่เรา”

ผมพยายามจับต้นชนปลายกับทุกคำพูดที่เกิดขึ้น ถ้าพวกมันพูดความจริง แสดงว่าผมกำลังมีโอกาสรักษาแม่ให้หายจากไวรัสมรณะบ้าบออะไรนี่ และกลับมาใช้ชีวิตปกติมีความสุขตามประสาแม่ลูกด้วยกันเหมือนเดิม

“แล้วผมต้องแลกกับอะไรบ้าง”

“โลกใบนี้ไง”

“หมายความว่าไง” คิ้วของผมเริ่มเขม็งเกลียวอีกครั้ง

ไม่มีคำตอบจากชายชุดดำทั้งสองคน...แต่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น

แท่งหลอดสีขาว ข้างในบรรจุของเหลวใส ขนาดประมาณ 25 CC 1 หลอด กลิ้งไหลตามพื้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดตรงปลายเท้าข้างหน้าผม

ผมก้มลงมองหลอดของเหลวด้วยความลังเล

“นี่เป็นวัคซีนหลอดสุดท้าย หยิบขึ้นมาสิ...แล้วเอาไปรักษาแม่ของคุณ เมื่อแม่ของคุณได้รับยารักษานี้แล้ว จะหายเป็นปลิดทิ้งแล้วกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติดังเดิม”

“แล้วผมต้องแลกมาด้วยโลกใบนี้ยังไง”

“ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน แม่ของคุณจะหายทันทีเมื่อได้รับวัคซีนหลอดนี้จนหมด แล้วคุณกับแม่ก็กลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม ส่วนโลกใบนี้ก็ยังคงเป็นไปเหมือนเช่นทุกวันนี้ ตามแต่โชคชะตาจะกำหนด”

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก้มมองหลอดของเหลวที่เป็นวัคซีนหลอดสุดท้าย จาก 2 หลอดที่ข่าวเคยรายงานไว้ บัดนี้ ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นกับชีวิตผมแล้ว ผมจะรักษาแม่ให้หาย แล้วเราจะได้กลับมาชีวิตเหมือนเดิมที่เคยเป็น

หยิบสิวะ...

โลก...

คำเดียว หนึ่งพยางค์สั้นๆ โผล่ขึ้นมาในหัวผม โลกที่ผมใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน โลกที่ผมมักก่นด่ามันอยู่แทบจะทุกวัน โลกที่น่าหดหู่ใบนี้

แล้วยังไง...ทำไมผมต้องแคร์โลกใบนี้ด้วย
โลกจะเป็นไปยังไง ทำไมผมต้องคิดถึงมัน ในเมื่อผมกับแม่สองคน เรากำลังจะกลับมามีชีวิตเหมือนเดิม ได้นั่งพูดคุยกินข้าวด้วยกันทุกวันอย่างมีความสุข ความสุขที่ผมโหยหามานานแสนนาน...

แต่...

ผมยืนก้มหน้ามองหลอดของเหลวใส ด้วยอาการเงียบงัน

คล้ายทุกอย่างบนโลกใบนี้กำลังหยุดหมุน เพื่อเฝ้ามองดูผมอยู่นานตราบเท่าที่เวลา 1 ปีแสงกำลังพาดผ่านทางช้างเผือกของแกแล็กซี่อันไกลโพ้น...

ผมก้มลองหยิบหลอดของเหลวใสแท่งนั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะสว่างจ้า ไฟทางเดินภายในสถานีส่องสว่างกลับมาเหมือนเดิม และความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้า

ไม่มีชายชุดดำทั้งสองคน...

ไม่มีกระป๋องน้ำอัดลมที่กลิ้งเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น มีเพียงตัวผม...และหลอดของเหลวใสหลอดนี้ในกำมือของตัวเอง...

..........................................................................................................

1 สัปดาห์ต่อมา...

สถานีข่าวทั่วโลกทั้งโทรทัศน์ วิทยุ และออนไลน์ต่างโหมข่าวการค้นพบวัคซีนที่สามารถกำจัดไวรัสกลายพันธุ์มรณะลงได้ โดยการค้นพบดังกล่าวเกิดขึ้นที่ประเทศไทย โดยชายหนุ่มวัย 35 ปี ที่ได้พบกับชายชุดดำเหมือนที่เคยพบกับหญิงชราที่ประเทศสาธารณรัฐอาบักกา

ชัยชนะของคนทั้งโลกแตกต่างตรงที่ครั้งนี้ ชายคนดังกล่าวตัดสินใจครั้งสำคัญ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง

โลกที่กำลังจะสิ้นหวัง ให้กลับมาเป็นโลกที่กำลังจะกลับมาสวยงามขึ้นอีกครั้ง ด้วยความหวังของวัคซีนขนาด 25 CC เพียงหลอดเดียว
และผมกลายเป็นฮีโร่ของคนทั้งโลก

สำนักข่าวทั่วโลกต่างเดินทางมาสัมภาษณ์ผมถึงประเทศไทย หน่วยงานราชการให้การต้อนรับผมเยี่ยงวีรบุรุษ

คำถามแรกที่ผมตอบบรรดานักข่าวจากทั่วทุกมุมโลกคือ...

ทำไม…ผมถึงไม่เอาวัคซีนไปรักษาแม่ให้หายขาด ทั้งๆที่จะทำก็ทำได้ ???

ทำไม...ผมถึงไม่ทำเหมือนกับหญิงชราที่เกิดขึ้นในประเทศสาธารณรัฐอาบักกา ???

ผมยิ้มให้กับกล้องนับร้อยตัวที่อยู่ตรงหน้า และบอกความรู้สึกที่ออกมาจากใจ

“ผมก็อยากรักษาแม่ของผมให้หายจากไวรัสมรณะเช่นเดียวกับทุกคนบนโลกใบนี้ครับ หากแต่...จะมีประโยชน์อะไร ถ้าผมกับแม่กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม บนโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...”

“ผมเชื่อว่า...การนำเอาวัคซีนนี้เข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์ เพื่อสร้างวัคซีนต้นแบบออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้โลกของเราได้รับวัคซีนที่เพียงพอ ช่วยให้โลกของเรากลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ถึงแม้ว่า...ผมจะเคยรู้สึกไม่ดีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกของเราอยู่บ้างก็ตาม”

“แต่โลกนี้...สมควรอยู่ต่อไป เพื่อคนรุ่นเราและคนรุ่นหลังจากนี้”

“ผมเลยยินดีที่จะนำวัคซีนนี้ มอบให้หน่วยงานทางการแพทย์ ที่จะช่วยกัน ทำมันให้ดีที่สุด”

“ผมขอเพียงแค่...เมื่อการเพิ่มวัคซีนมากเพียงพอแล้ว ผมขอให้คุณแม่ของผมได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อรักษาเป็นคนแรกๆ ผมก็พอใจแล้วครับ”

“โลกของเราควรได้รับมัน...สิ่งนั้นคือสันติภาพและความสงบสุข ทุกคนจะได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม และมีความสุขกันอีกครั้ง ผมอยากชวนให้ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน มาเปลี่ยนแปลงตัวเอง...เพื่อโลกของเรา มาช่วยกันนะครับ”

“ชายชุดดำที่คุณได้พบ ได้บอกอะไรคุณอีกหรือไม่ ??? " คำถามจากนักข่าวชื่อดังชาวตะวันตกยิงคำถามที่เชื่อว่าทุกคนคงอยากจะรู้เหมือนกัน

“พวกเค้าเป็นคนดีมากครับ พวกเค้าบอกกับผมว่า พวกเค้าไม่ได้ต้องการอะไรจากโลกใบนี้ พวกเค้ามาที่นี่ เพื่อที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับโลกของเรา เพราะดาวทุกดวงบนจักรวาลนี้ ต่างก็อยากใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เมื่อเกิดปัญหาเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ พวกเค้าก็อยากจะช่วยเรา แต่ความช่วยเหลือมีขีดจำกัด”

“เค้าจึงสามารถนำวัคซีนมาให้โลกของเราได้เพียง 2 หลอดเท่านั้น และ 1 ในนั้นคือตัวผมที่ได้รับมัน”

“พวกเค้าหวังว่า โลกใบนี้จะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง”

“คำถามสุดท้าย คุณเคยสงสัยมั๊ย ว่าทำไมคุณถึงเป็นผู้ที่ถูกเลือก” นักข่าวสาวไทย ยิงคำถามที่ทำให้ผมยิ้มออกมาเบาๆ

“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ชายชุดดำบอกแต่เพียงว่าจักรวาลเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด และกำหนดให้แผ่นดินไทยของเรา ดินแดนแห่งสยามเมืองยิ้ม ดินแดนที่ผู้คนมีน้ำใจต่อกัน นั่นถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมากครับ”

“วันนี้ โลกของเรากำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว...ขอแค่ทุกคนช่วยกันเปลี่ยนให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น เริ่มตั้งแต่วินาทีนี้เลยนะครับ”...

ขอขอบคุณ

เครดิตภาพหน้าปก : ArtTower / Pixabay

เครดิตภาพ : igorovsyannykov / Pixabay

เครดิตภาพ : MichaelGaida / Pixabay

เครดิตภาพ : Tama66 / Pixabay

เครดิตภาพ : stokpic / Pixabay

เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์