อื่นๆ

สามคน ต้องตาย

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
สามคน ต้องตาย

สามคนต้องตาย

เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าจากญาติของผมคนหนึ่งได้เล่าให้ผมฟังนะครับแกชื่อลุงพงษ์ครับ

วันนั้นช่วงเดือนธันวาคม ปี2540 เป็นฤดูหนาว  ญาติๆก็พากันกลับมาจากกรุงเทพฯกัน  หนึ่งในนั้นก็คือลุงพงษ์  พากันนั่งผิงไฟกันแก้หนาว  ตอนนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว  มีประมาณ5-6คนรวมผมด้วย  พากันนั่งล้อมกองไฟอยู่คุยกันไปสัปเพเหระจนมาถึงเรื่องของลุงพงษ์  ที่ทำให้ผมจำได้จนถึงทุกวันนี้  ลุงพงษ์เล่าว่า

วันนั้นประมาณสองทุ่ม  ลุงพงษ์กำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบ้าน  มีเพื่อนคนหนึ่งมายืนเรียกลุงที่หน้าประตู  ลุงพงษ์เดินไปที่ประตูก็รู้ว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานเก่า  เลยเปิดประตูให้เข้ามา  ลุงพงษ์ถามไถ่เพื่อนคนนั้นว่าไปไงมาไงถึงได้มาเอาป่านนี้  เพื่อนของลุงพงษ์สมมุติว่าชื่อเอ

ลุงเอจึงพูดกับลุงพงษ์เชิงประมาณว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกมีเรื่องสำคัญกว่านี้อีก  ลุงพงษ์ก็ถามว่าเรื่องอะไร  ลุงเอเงียบไปซักพักก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า"กูกำลังจะตาย" ลุงพงษ์ถึงกับงงกับสิ่งที่ลุงเอพูด  ลุงเอเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับลุงพงษ์ฟังว่า

Advertisement

Advertisement

ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนลุงเอกับเพื่อนอีกสองคน  สมมุติว่าชื่อลุงโย่งกับลุงโรจ  ทั้งสามคนพากันตกงานออกจากงานกระทันหันเพราะหนีพวกโต๊ะบอล  ทั้งสามคนติดพนันบอลหลายหมื่นจนพวกโต๊ะบอลพากันตามทวงหนี้โหด  ทั้งสามคนหนีตายกันไป  อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง  จะกลับบ้านก็กลัวพวกโต๊ะบอลตามเจอเพราะมีข้อมูลส่วนตัวของลุงทั้งสามคนอยู่แล้ว  ลุงเอบอกว่าตอนนั้นลุงกับเพื่อนๆได้งานเป็นโรงงานอะไหล่รถที่สมุทรปราการจึงเช่าห้องราคาถูกๆอยู่ด้วยกัน

จนกระทั่งคืนหนึ่ง  ลุงเอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงบางอย่าง  ตอนนั้นในห้องมืดมาก  พอตั้งใจฟังก็ได้ยินเหมือนเสียงคนหายใจติดขัด  ลุงเอเลยลุกขึ้นไปเปิดไฟดู  สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าแทบจะทำให้ลุงเอช็อคตายลงเดี๋ยวนั้น  เพราะสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือลุงโย่งนอนเอามือสองข้างบีบคอตัวเองจนหน้าเขียวลิ้นจุกปากเลือดไหลออกจากจมูกลุงเอถึงกับตะโกนแหกปากเสียงดังลั่นจนลุงโรจน์ตื่นขึ้นและเห็นภาพเช่นเดียวกับลุงเอ  ทั้งสองคนต่างสติไม่อยู่กับเนื้อตัว  พากันวิ่งไปวัดที่ใกล้ที่สุด  ทั้งสองทุบประตูโบสถ์เสียงดังโครมๆจนพระเณรตื่นกันหมด  ทั้งสองคนทั้งร้องไห้ตัวสั่นสติแตกหลวงพ่อจึงพรมน้ำมนต์ให้  ทั้งสองจึงค่อยๆสงบลง  ลุงเอจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อฟังหลวงพ่อจึงสันนิษฐานเหตุการณ์ว่า    อาจเป็นเพราะหนึ่งในพวกโต๊ะบอลที่ทำของใส่ลุงโย่ง  และไม่แน่มันอาจจะทำของใส่ลุงเอกับลุงโรจน์ด้วยก็ได้  เมื่อได้ยินหลวงพ่อพูดแบบนั้นทั้งสองคนถึงกับกุมขมับประสาทกินอย่างหนัก  เพราะนอกจากเรื่องโดนทำของใส่แล้วยังมีเรื่องศพของลุงโย่งที่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่อีก  ระหว่างที่รอให้เช้านั้นพระเณรก็พากันเข้ากุฏิแล้ว  เหลือแต่สองลุงที่ยังนั่งกอดเข่าถ่างตาอยู่ในโบสถ์จนเวลาล่วงเลยไปถึงตีสามกว่าๆลุงทั้งสองก็ได้ผลอยหลับไปด้วยความล้า  ในขณะที่นอนอยู่นั้นลุงเอได้ยินเสียงหอบของลุงโรจน์จึงหันไปมองเห็นลุงโรจน์กำลังบีบคอตัวเองดิ้นทุรนทุราย  ลุงเอตกใจรีบเข้าไปช่วยห้ามเพื่อน  แต่สู้แรงของลุงโรจน์ไม่ไหวลุงโรจน์บีบคอตัวเองจนลิ้นจุกปากและแน่นิ่งไปในที่สุด  ลุงเอกลัวสุดขีดรีบวิ่งออกจากวัดไป  ลุงเอนั่งอยู่ตรงป้ายรถเมย์จนเช้าจึงเดินทางมาหาลุงพงษ์ที่กรุงเทพ

Advertisement

Advertisement

พอเล่าถึงตรงนี้ลุงพงษ์เลยถามลุงเอว่า'อ้าว! แล้วศพของเพื่อนเอ็งล่ะใครเป็นคนจัดการ' ลุงเอก็บอกว่าลุงเอโทรไปที่ห้องเช่าเดิมแล้ว  เค้าก็บอกว่าไม่มีใครอยู่ในห้องเลย  แล้วเจ้าของห้องยังต่อว่าลุงเอว่าทำไมไม่จ่ายค่าเช่าย้ายหนีกันไปหมดเลย  แล้วข่าวการตายของลุงโรจน์ก็ไม่มีวี่แววเลย โทรไปที่บ้านทางบ้านก็บอกว่าไม่เห็นกลับมาเลย  มันคืออะไร ทั้งๆที่เห็นเพื่อนสองคนตายกับตาตัวเอง  แต่อยู่ๆก็หายไปเฉยๆเนี่ยนะ ลุงเอก็งงหนักมาก  หาคำตอบไม่ได้เลย

ลุงพงษ์จึงบอกให้ลุงเอนอนพักที่นี่ก่อนก็ได้  พรุ่งนี้จะได้ลางานแล้วพาไปหาหลวงพ่อ  ลุงพงษ์จึงลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานกะดึก  ทิ้งให้ลุงเอนอนอยู่ในบ้านเช่าเพียงลำพัง

รุ่งเช้าลุงพงษ์เลิกงานกลับมาที่บ้านเช่า  พอเข้าไปในบ้านก็ไม่เห็นลุงเอเลยลุงเอหายไป  ลุงพงษ์แปลกใจมาก  และนับตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีใครเห็นลุงเออีกเลย  ลุงพงษ์ยังบอกอีกว่าที่ๆลุงเอนอนมีรอยแดงๆดำๆตรงผ้าปูคล้ายกับคราบเลือดด้วย

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์