อื่นๆ

หลับ-หลอน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
หลับ-หลอน

เรื่องราวนี้ ผมได้รับฟังมาจาก "ป้าเทียน" คุณป้าแท้ๆ ของผมอีกที ที่มีโอกาสได้นั่งคุยตามประสาผู้เกษียณอายุเหมือนน้องสาว คือคุณแม่ผมที่อายุไล่ๆกัน เธอบอกว่า มีเรื่องที่ค้างคาใจเธอมานานกว่า 40 ปีจะบอกให้คุณแม่ผมได้ฟัง

เธอไม่กล้าเล่าให้อื่นรับรู้ เพราะเกรงคนอื่นจะว่าเธอจิตอ่อนหรือพูดเพื่อให้คนอื่นสนใจตัวเท่านั้น
เธอยืนยันว่าเรื่องที่เธอเล่านี้เป็นเรื่องจริง และส่วนตัวผมคิดว่า เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาเล่าสนุกๆ เพราะเธอเป็นถึงหัวหน้าพยาบาล ส่วนสามีของเธอก็เป็นข้าราชการทหารชั้นสูงยศพลโทฯ ในขณะนั้น

ตัวเธอเองก็เป็นคนเคร่งครัดตามแบบฉบับของคุณระเบียบ อันเป็นภาพพจน์ของนางพยาบาลสมัยเก่า ขณะนี้เธออายุเกือบ 80 ปีแล้ว มีลูกศิษย์ลูกหามากมายในแวดวงพยาบาลและเป็นที่รักใคร่ของบุคลากรแม้เธอจะเป็นคนค่อนข้างเคร่งครัดก็ตาม ก็ยังเป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนร่วมงานและน้องๆ เสมอ

Advertisement

Advertisement

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2519 ขณะนั้น ป้าเทียน เป็นพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในใจกลางกรุงเทพฯ ขอสงวนชื่อโรงพยาบาลไว้ ณ ที่นี้
เมื่อ 40 กว่าปีก่อน กรุงเทพฯ ยังไม่ค่อยแออัดเท่าใด ยิ่งเป็นหน้าฝน วันเสาร์อาทิตย์ตอนเย็นๆ แล้ว รถราก็เริ่มน้อยลง พอตกค่ำ ฝนก็มักจะลงเม็ด ผู้คนก็หลบลี้หนีฝนเข้าไปในบ้านไม่ค่อยออกมาเริงรมย์นอกบ้านเหมือนสมัยนี้

หน้าที่ประจำของเหล่าพยาบาลก็คือเข้าเวรนั่นเอง เป็นการทำงานกะกลางคืนที่แสนน่าเบื่อ และยิ่งน่าเบื่อเข้าไปอีกเมื่ออยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าโรงพยาบาล ซึ่งมีแต่กลิ่นยา กลิ่นอุปกรณ์ น้ำยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ โชยมาอบอวลเป็นกลิ่นธรรมชาติที่โรงพยาบาลทุกแห่งมีเหมือนๆ กันหมด

ไม่นับทางเดินที่มืด ไฟบนเพดานที่ยังเป็นหลอดกลมสีเหลืองอำพันหมองๆ พื้นหินขัดที่มีแต่ร่องรอยของคราบต่างๆ ที่สะสมมาจนล้างไม่ออก
เสียงประตูเก่าๆ ที่มีแต่สนิม มุมอับมุมมืดต่างๆ เนื่องจากห้องมีจำนวนมากและซอกแซกซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานของโรงพยาบาลไทยขณะนั้น

Advertisement

Advertisement

ไม่รวมถึงเสียงโอดโอยด้วยความปวดทรมานจากอาการเจ็บป่วยของคนไข้ในบางคืนที่ โหยหวนมาเป็นระยะๆ
แต่ก็เถอะนะ บุคลากรในโรงพยาบาลล้วนแต่คุ้นชินในสิ่งเหล่านี้มาเนิ่นนานแล้วทั้งสิ้น

ปลายเดือนกันยายนนั้นเอง  "แม่เทียน" ที่เด็กๆ พยาบาลเรียกกัน ก็จำเป็นต้องมาอยู่เวรที่สองคือช่วงหลังเที่ยงคืนไปถึงช่วงเช้า สลับกับ "พยาบาลแจ่ม" เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน

คืนนั้น ฝนตกหนักผ่านไปแล้วแต่ก็ยังมีสายฝนโปรยปรายลงมา ถนนด้านหน้าโรงพยาบาล แม้จะติดกับถนนใหญ่ที่มีดวงไฟถนนอยู่ห่างๆ ท่ามกลางสายฝน ก็ยังส่องเข้าผ่านมายากเพราะโรงพยาบาลแห่งนี้เป็น "ที่ดิน"ของเจ้านายสมัยเก่าที่บริจาคที่ให้กุศลมาทำเป็นโรงพยาบาล อันร่มครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่สูงเท่าตึกสี่ชั้นแทบทุกต้น ไม่ว่าจะเป็นต้นอโศก ต้นประดู่ ที่แกว่งยอด โยกเยก ดำทะมึนของมันไปมาอยู่กลางสายลมแรงและเม็ดฝนโปรยปราย

Advertisement

Advertisement

ลมหนาวเริ่มก้าวเข้ามาแล้ว แม่เทียนใส่ชุดพยาบาลลงมาจากรถเมล์เที่ยวสุดท้าย เดินฝ่าละอองฝนอย่างเร่งรีบ เพื่อไปให้ทันเพื่อนแจ่มที่เข้าเวรก่อนหน้า เธอมาก่อนเวลานิดหน่อย จะได้ไปสลับกับเพื่อนจะได้ไม่กลับดึกจนเกินไปนัก ข้าวของที่เตรียมมาก็เต็มไม้เต็มมือ อีกมือก็ต้องป้องหน้ากันฝนเพราะลืมเอาร่มมาจากบ้านแถวฝั่งธนฯ

เธอก้าวเท้ายาวๆ รีบเร่งเข้าไปในรั้วด้านข้างโรงพยาบาล เพราะทางเดินด้านนี้ใกล้ที่สุด แต่ก็มืดครึ้มที่สุดเหมือนกัน

แต่ทันใดนั้น เธอก็ต้องตกใจเบี่ยงตัวหลบอย่างกระทันหัน เพราะคนที่วิ่งกระหืดกระหอบพุ่งออกมาจากประตูข้างโรงพยาบาลก็คือ แจ่ม เพื่อนของเธอนั่นเอง

"แจ่ม เป็นอะไร แจ่ม !!" ป้าเทียนตะโกนไล่หลัง แต่ไม่ทันแล้ว พยาบาลแจ่มพร้อมของพะรุงพะรังวิ่งออกไปด้านนอกโรงพยาบาลเสียแล้วทั้งๆ ที่ฝนก็ลงพรำๆ "ไม่อยู่แล้วเทียน ฉันไม่อยู่แล้ว" เธอวิ่งไปตะโกนไป ช่างไม่กลัวล้มเอาเสียเลย ทั้งมืดทั้งลื่นขนาดนั้น

"แกจะบ้ารึไงนางแจ่ม !!" ป้าเทียนตะโกนตอบตามหลัง แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับมา แจ่มวิ่งออกไปทางหน้าประตูวิ่งขึ้นรถเก่งแลนเซียสีฟ้าทึมๆ ของสามีของเธอที่จอดรออยู่ แล้วรถก็วิ่งพรวดออกไป

คืนนี้เป็นคืนอะไรก็ไม่รู้ ช่างเงียบเชียบ ไร้ผู้คนเสียจริง แม้แต่ประตูด้านข้างที่ไม่เคยมียามมายืนเฝ้าอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบงันยามฝนโปรย.....

ประตูต่างๆ ของโรงพยาบาล ถ้าไม่ใช่ประตูหน้า จะไม่มียามมายืนเฝ้า เพราะโรงพยาบาลมีหลายประตูไม่น้อยกว่าสิบประตู รัฐบาลไม่มีงบประมาณมาจ้างยามทุกประตูเป็นแน่ คนสมัยนั้นก็ไม่ได้ระแวดระวังอันตรายขโมยขโจรเหมือนสมัยนี้

ป้าเทียนเดินเข้าห้องรวมพยาบาลก็เจอเพื่อนพยาบาลไม่กี่คน ถามใครก็ไม่รู้เรือ่งว่า แจ่ม วิ่งออกไปทำไม "หรือว่ามีธุระด่วนมาก?" ป้าเทียนคิดและได้แต่ส่ายหน้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเพราะถามไปก็ไม่รู้จะเอาคำตอบที่ไหน ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงกดมือถือถามกันไปแล้ว

ด้วยความที่ว่า คืนนี้มีคนไข้ค่อนข้างน้อยและเคสก็ไม่หนักเท่าใดนัก ป้าเทียนเล่าว่า สองสามวันก่อนหน้านี้ ที่บ้านของเธอมีงานบุญ ทำให้ช่วงนี้เธอนอนค่อนข้างดึกเนื่องจากเตรียมงานที่บ้านมาหลายวัน ในที่สุดเมื่อถึงเวลาธรรมชาติเรียกร้องเอาจริงๆ ประมาณตีสามกว่าๆ เธอก็เริ่มง่วงเพราะอ่อนเพลียจากการนอนดึกมาหลายวัน

เธอเป็นถึงหัวหน้าพยาบาล ครั้นจะมานอนที่เคาน์เต้อร์พยาบาลก็เกรงว่า ภาพพจน์เธอจะเสีย ล้างหน้าก็แล้ว กาแฟก็กินไม่เป็น เดินไปมาก็แล้ว ร่างกายคงทนอ่อนล้าไม่ไหว ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจว่า เธอคงต้องงีบสักพักหนึ่งดีกว่าสักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี ดีกว่าไปหลับที่หน้างานให้ลูกน้องจำภาพที่ไม่ดี

ที่ที่เธอเลือกก็คือ เตียงคนไข้ว่างๆ แห่งหนึ่งในห้องผู้ป่วยว่างที่ใกล้ๆ เคาน์เตอร์นั่นเอง อย่างน้อยก็เงียบเชียบ มีประตูปิดมิดชิด แต่ไม่ใกล้จนมีใครมือบอนมาเปิดดู คืนนี้มีพยาบาลแค่สองคนเท่านั้น และก็เดินไปเยี่ยมคนไข้ในวอร์ดต่างๆ เสียด้วย

ในที่สุดเธอก็เลือกที่เหมาะๆ ของเธอได้ เตียงสีขาวสะอาดผ้าตึงเนียนน่าจะทำให้หายง่วงได้บ้างพอสมควร.......

ป้าเทียนเล่าว่า คืนนั้น เป็นคืนที่เงียบมาก ได้ยินแต่เสียงนาฬิกาฝาผนังเรือนใหญ่ รุ่นโบราณเดิมเข็มเป็นเพื่อนตลอดเวลา "อย่างน้อยก็มีเสียงเข็มนาฬิกาเป็นเพื่อนในคืนบ้าๆ แบบนี้" เธอคิดและล้มตัวลงนอนเหยียดยาวลงบนเตียงล้อเข็นที่คุ้นเคยของเธอมาทุกวัน

ดึกแล้ว เสียงจักจั่นเรไรเงียบเหมือนมันนอนหลับ หรือไม่ ก็เจออะไรมารบกวนการกรีดปีกของมัน เลยต้องเงียบเสียงซ่อนตัวจากผู้ล่า
หรืออาจจะเป็นเพราะต้นไม้ต้นไร่โบราณในที่นี้ คงครึ้มเหมือนร่มยักษ์ที่มีแสงจันทร์ลอดมาเป็นครั้งคราว ร่มเกินไปจนมันไม่อยากอยู่ มีแต่เสียงลมหวีดหวิวเพราะพัดผ่านใบไม้กับฝนปรอยๆ จนเปียกชุ่ม ข้างนอกเท่านั้นเอง

เธอเคลิ้มหลับไปได้พักใหญ่ๆ เธอมีความรู้สึกว่า มีน้ำหยดเล็กๆ หยดลงมาเบาๆ ที่แก้มของเธอ หยดเล็กมากจนแยกไม่ออกว่าฝันหรือจริง

มันปั่นป่วน พยายามขยับตัว แต่.....กระทั่งจะฝืนลืมตาแต่ไม่สามารถทำได้ "มันคือฝันใช่ไหม?" เธอคิดในใจ.........

น้ำที่หยดลงมานานๆ หยดนั้น กลับทำให้เธอรู้สึกประหลาด อึดอัด และอยากไปให้พ้นๆ จากตรงนั้น "มันไม่ใช่ที่นอนของฉันแล้ว" ป้าคิดว่าอย่างนั้น

ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับป้าเทียนคือ พยายามให้สุดกำลังที่จะลืมตาขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เป็นพยาบาลต้องมีใจเข้มแข็งต่อเหตุการณ์ต่างๆ ให้ได้ ประสบการณ์สอนเธอมาแบบนั้น

ในที่สุดเธอก็ฝืนลืมตาขึ้นจนได้แม้จะมองไม่ชัดเพราะสายตาพร่ามัวไปหมด น้ำที่หยดลงมาก็จริงยิ่งกว่าจริง มันไม่ใช่ฝันอีกต่อไป

สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของเธอก็คือ ดวงหน้าของผู้หญิงตัวผอมเก้งก้างผมยาวคนหนึ่ง กำลังนั่งคร่อมตัวของป้าเทียนอยู่ และยื่นหน้าลงมาห่างจากหน้าป้าเทียนประมาณไม่ถึงศอก เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเปียกน้ำจนดูสกปรก หน้าตาเลอะเทอะไปด้วยดินตมมีเศษใบไม้เล็กๆ ติดอยู่เลยไปถึงข้างหูทั้งสองข้าง ส่วนที่ไม่เปรอะโคลนกลับเหี่ยวซีดเหมือนมือคนที่แช่น้ำนานจนมือขาวเป็นริ้ว ผมสีดำรุ่ยร่ายเปียกปอนของหญิงปริศนาคนนั้น ห้อยลงมาปรกหน้าชุ่มเหมือนคนพึ่งสระผมแล้วเช็ดไม่แห้ง ปากของเธออ้าออก ตาลึกลงไปในเบ้า จ้องหน้าป้าเหมือนกำลังจะบอกความในใจอย่างใดสักอย่าง  ในปากของเธอมีแต่โคลนสีคล้ำเลอะทั้งในปาก ลิ้น และฟัน น้ำที่ปลายผม หยดหยาดลงมาที่หน้าป้าเทียนอย่างช้าๆ ป้าเทียนบอกตัวเองว่า "ลุกออกไปจากตรงนี้ อยู่ไม่ได้แล้ว " !!

และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ป้าเทียนได้เห็น หัวใจเต้นรัวเหมือนจะทะลุออกมาจากอก เลือดในกายอุ่นฉีดซ่าน ขนลุกไปทั่วตัว

วาบความคิดที่แล่นขึ้นมาคงเหมือนกับคนที่เจอผีครั้งแรกแล้วคิดเหมือนกัน "ผี !!! นี่คือผี !! ผีมีจริง !!"

เธอยันกายลุกขึ้นด้วยข้อศอกทั้งสองข้าง พลิกตัวอย่างแรงออกจากเตียงนั้น จนตัวหล่นลงไปนอนพังพาบไปกับพื้น รีบยันตัวเองลุกขึ้น ร้องโวยวายลั่นห้อง และพุ่งพรวดกระแทกประตุออกจากห้องนั้นอย่างไม่คิดชีวิต หันไปดูอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เพื่อนพยาบาลถามก็ได้แต่ชี้ไปในห้องแต่พูดอะไรไม่ได้มากนอกจากคำว่า "ในห้อง ในห้อง ในห้อง ไม่ไหวแล้ว นังนั่นมันตัวเปียกโคลนมาเลย โทรเรียกผัวชั้นอุทิศมารับด้วย ไม่อยู่แล้ว" พยาบาลอีกสองคน นักการภารโรง และยามที่อยู่อีกฟากของตึกได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ตามเสียงเข้ามา และเข้าไปดูที่เกิดเหตุ

ก่อนที่ทุกคนจะมีคำถามว่า "ป้าฝันใช่ไหม?" ป้าพูดว่า "ดูสินี่ไง....!!" ป้ายกมืออันสั่นเทา เช็ดเศษโคลนเล็กๆ ที่ข้างแก้มป้าให้ทุกคนดู............

ในที่สุดลุงอุทิศก็มารับป้ากลับบ้าน

ป้าเทียนนึกถึง แจ่ม เพื่อนของเธอขึ้นมาทันที

ป้าเทียนเอง ต้องเข้าไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล (แน่นอนอีกแห่ง) ด้วยอาการหวาดผวาอย่างหนัก อ่อนเพลียและต้องมีคนเฝ้าตลอดเวลาเกือบ 2 อาทิตย์ และทำบุญบ้านครั้งใหญ่กว่าเดิมเพื่ออุทิศให้แก่ผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงคนที่ป้าเทียนทราบภายหลังว่า เป็นศพนอนอยู่ในห้องเก็บตึกข้างๆ กันอย่างเดียวดายไร้ญาติ เธอถูกฆาตกรรมและมีผู้พบศพของเธอคว่ำหน้าอยู่ในน้ำ

แน่นอน ผมของเธอสีดำขลับ ยาว และเปียก เสื้อผ้าของเธอหลุดลุ่ย และที่สำคัญ ใบหน้าและในปากของเธอมีแต่ "โคลน"

ป้าปฏิเสธเจ้าหน้าที่ที่อาสาจะพาไปดูหน้าของหญิงคนนั้นด้วยตัวเองเนื่องจากเกรงว่า สิ่งที่เธอประสบมาในคืนนั้น มันเพียงพอแล้วสำหรับหัวใจของเธอ

ป้าเทียนได้ย้ายไปปฏิบัติงานหน้าที่ทางด้านวิชาการและประสานงานอยู่ตึกอื่นทันทีที่ได้กลับมาทำงานต่อ เรื่องของเธอดังมากในปีนั้น

เธอไม่โกรธไม่เกลียด "แจ่ม" ที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน และ "แจ่ม" ได้ย้ายตามสามีไปอยู่ต่างจังหวัด

ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกสงสาร "หญิงผมยาวปริศนา" คนนั้นอย่างจับใจ ไม่ว่าเธอจะพยายามบอกอะไร หรือต้องการอะไร สิ่งที่ป้าเทียนทำได้มากที่สุดก็คือทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เธอทุกวัน และหวังอยู่ลึกๆ ว่า คงไม่ต้องมาเจอกันอีก

ชีวิตคนเรานี้ก็แปลก เหมือนที่เพลงเก่าเพลงนึงว่าไว้
"คนเรานี้ คิดให้ดีก็น่าขำ อยากจำกลับลืม...อยากลืมกลับจำ"

43 ปีผ่านมาแล้ว........ป้าเทียน จำทุกรายละเอียดได้ไม่เคยลืม...................ทั้งๆ ที่อยากจะลืม

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์