อื่นๆ
เรื่องราวจากเด็กหลังห้องสู่ No.1
แหล่งที่มาภาพ : www.pexels.com
การเรียนให้ได้ที่ 1 นั้นเป็นเรื่องยาก ยิ่งเป็นเด็กหลังห้องแล้วยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้ บางคนอาจมีข้อโต้แย้งว่าไม่จริง เด็กหลังห้องที่เรียนเก่งก็มีเยอะแยะไป มันก็ใช่ค่ะถ้าเพื่อน ๆ มองในมุมที่เป็นคนอื่น แต่เด็กหลังห้องที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้คือตัวเราเองค่ะ คาบเรียนทุกคาบเราจะนั่งอยู่หลังห้องทุกวิชา ทุกครั้งที่ครูเผลอก็แอบหลับ พอโดนดุก็ตั้งใจมองกระดานมองแบบลอย ๆ นะคะ อาการคล้าย ๆ หลับในก็ว่าได้ มีการบ้านก็ไม่ค่อยทำ ไม่ใช่ขี้เกียจทำนะ แต่เราไม่รู้ว่าจะตอบอะไรไปดี บางโจทย์นี่งงเลยว่าต้องการคำตอบแบบไหนจากเรา เรื่องราวมันเป็นแบบนี้ทุกวันจนเราเรียนจบชั้นปฐมศึกษา ถามว่าแล้วได้ที่เท่าไรของห้องล่ะ ขอตอบด้วยความภูมิใจ ที่ 10 ค่ะ ซึ่งทั้งห้องมีอยู่ 13 คน
การเรียนก็เหมือนกับการเล่นเกมส์แหละค่ะ เมื่อจบด่านนี้แล้วก็ต้องไปด่านต่อไป หลังจากจบชั้นปฐมศึกษามาแล้ว เราก็มาเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษา ตอนม. 1 ก็ยังไม่คิดอะไรมาก ยังเรียน ๆ เล่น ๆ เหมือนเดิม ผลการเรียนออกมาก็อยู่อันดับที่ 20 จาก 42 คน ตอนนั้นคือดีใจมาก ในใจคิดอยู่แค่ทำไมเราเก่งจัง ได้ตั้งที่ 20 ยังไม่ถึงครึ่งห้องเลย พอหันไปถามเพื่อนสนิท ปรากฏว่านางได้ที่ 8 เกือบหุบยิ้มแทบไม่ทัน
Advertisement
Advertisement
จบจาก ม. 1 ก็ต่อม. 2 มันเป็นช่วงที่ชิวมากที่สุด เพราะเราเริ่มปรับตัวได้แล้ว แถมยังไม่ต้องปวดหัวเรื่องหาที่เรียนต่อด้วย เราก็เรียน ๆ เล่น ๆ เหมือนทุกวัน จนวันนึงเราได้ดูซีรี่ย์เรื่องหนึ่งเราจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วเพราะมันผ่านมานานมาก เป็นซีรี่ย์ที่เปลี่ยนชีวิตเราเลยก็ว่าได้ เนื้อเรื่องคร่าว ๆ ก็คือตัวเอกของเรื่องอยากจะเอาชนะคำพูดดูถูกของคนอื่นที่บอกว่านางไม่มีทางทำคะแนนให้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของห้องได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้ค่ะ นั่นแหละมันเลยทำให้เรามีแนวคิดที่อยากจะเอาชนะตัวเอง อยากจะลองดูสักครั้งว่าถ้าเราทำแล้วเราจะมาได้ถึงไหนกัน พอเช้ามาเราก็ตั้งใจฟังเลยค่ะ ครูพูดอะไรเราจดหมด อันไหนไม่เข้าใจเราจะเอาไปถามเพื่อนตลอด
แหล่งที่มาภาพ : www.pexels.com
ช่วงสอบว่ากันว่าการสอบต้องอาศัยการอ่านบ่อย ๆ อ่านเยอะ ๆ เราพิสูจน์มาแล้วว่าจริงค่ะ เพียงแต่การอ่านของเราจะเป็นการอ่านแบบมีขั้นตอน คือเราจะอ่านโดยรวมอ่านแบบผ่าน ๆ หนึ่งรอบ รอบที่สองจะเป็นอ่านแบบเน้นใจความสำคัญเราจะใช้ไฮไลท์ขีดไว้ รอบที่สามอ่านเพื่อเอาใจความสำคัญมาสรุปใส่สมุด รอบที่สี่เราจะอ่านเฉพาะในสมุดที่จดสรุปไว้ก่อนนอน อ่อช่วงสอบเราจะเข้านอนไม่เกินสามทุ่ม เพราะเราจะตื่นมาอ่านหนังสือตอนตีสี่อีกสองรอบ อันนี้แล้วแต่บุคคลนะคะแต่เราเป็นคนที่อ่านหนังสือดึกแล้วไม่เข้าหัว ต้องนอนให้เต็มอิ่มแล้วค่อยมาอ่านตอนเช้า หลังจากนั้นจะไปอ่านอีกทีหน้าห้องสอบเป็นการทบทวน สรุปแล้วเราอ่านหนังสือประมาณเจ็ดรอบต่อหนึ่งวิชา ซึ่งวันนึงสอบมากกว่าหนึ่งวิชา การทำแบบนี้ทำให้เราสอบได้อันดับที่ 4 ของห้อง ตอนนั้นคืองงมากแทบไม่อยากเชื่อ นี่แค่เราเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนการกระทำมันทำให้เราเห็นผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้เลยหรือ ช่วงนั้นคือไฟเริ่มมาละ ตั้งปณิธานกับตัวเองเลยว่า ม. 3 ฉันต้องดีกว่านี้
Advertisement
Advertisement
แหล่งที่มาภาพ : www.pexels.com
แหล่งที่มาภาพ : www.pexels.com
ช่วง ม. 3 นี่ค่อนข้างสาหัสกันเลยทีเดียว เพราะนอกจากเรื่องเรียน เรื่องสอบ เรายังต้องคิดเรื่องเรียนต่ออีก หัวหมุนกันไปเลย แต่เราโชคดีหน่อยที่ทางบ้านสนับสนุนให้เรียนต่อม. 4 ที่นั่นเลย เราเลยไม่ต้องไปหาที่เรียนแบบคนอื่นที่เลือกเรียนสายอาชีพ ทีนี้ก็กลับเข้ามาที่เรื่องเรียน หลังจากที่มีเป้าหมายแน่วแน่แล้วว่าจะต้องทำให้ดีกว่าตอนม. 2 เราก็กลับมาพิจารณาตัวเองว่าอะไรที่เรายังพยายามไม่พอ ตั้งใจเรียนก็ทำแล้ว ตั้งใจสอบก็ทำแล้ว มันยังขาดอะไรอีกนะ ใช่ค่ะมันยังขาดกิจกรรม ม. 3 เป็นปีที่เราทำกิจกรรมเยอะมาก งานเล็กงานใหญ่ถ้าทำได้เราทำหมด ตั้งแต่กิจกรรมงานวิชาการเล็ก ๆ ไปจนถึงกิจกรรมโรงเรียน ถามว่าเหนื่อยไหมขอตอบตรงนี้เลยค่ะว่าเหนื่อยมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันก็คุ้มมากเช่นกันค่ะ เพราะการได้ลองพยายามของเรานั้นมันทำให้เราได้สัมผัสกับคำว่า No. 1 ไม่น่าเชื่อเลยนะคะจากเด็กหลังห้องในวันนั้นกลายมาเป็น No. 1 ในวันนี้ เพียงแค่เปลี่ยนความคิด แล้วลงมือทำ ทุกความสำเร็จก็เป็นไปได้ค่ะ
Advertisement
Advertisement
แหล่งที่มาภาพ : www.pexels.com
บทความนี้มาจากประสบการณ์ของFonadal เองล้วน ๆ ผ่านการทดลองทำมาแล้วจริง ๆ ตามที่กล่าวมาในบทความ เราเขียนขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจให้คุณผู้อ่านทุกคนที่กำลังท้อแท้กับการเรียนได้มีพลังในการสู้อีกครั้ง เชื่อเราเถอะคะว่าชนะคนทั้งโลกยังไม่เท่ากับชนะตัวเราเอง ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรก็ต้องลองดูด้วยตัวเองแล้วค่ะ สู้ ๆ นะคะทุกคน
ความคิดเห็น