อื่นๆ

ตายแล้วเป็นอย่างไร

541
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ตายแล้วเป็นอย่างไร

ทำดี1ทำดีเยอะๆตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตายแล้วตกนรก..จริงหรือไม่  อันนี้ผู้เขียน ก็ไม่แน่ใจนะ เพราะยังไม่เคยตาย หรือถ้าตายแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีปัญญากลับมาเขียนบรรยายให้คนอื่นอ่านได้ไหม  เอาเป็นว่า ที่มโนได้ในตอนนี้คือ
เมื่อยามที่เรามีชีวิต หากเราทำแต่สิ่งดี รู้สึกมีความสุข จิตใจของเราก็จะจำสิ่งที่ดีนั้นๆ สะสมไว้ภายในจิตใต้สำนึก  ตรงกันข้าม หากเราทำสิ่งไม่ดี ด้วยโทสะ โมหะ หรือกิเลสทั้งหลาย จนเกิดความรู้สึกผิด ก็จะเป็นเหมือนรอยคราบ (ตราบาป) สกปรกในใจเรา นานๆไปก็จางไปจนเราอาจลืมเลือน หรือคิดคำนึงถึงได้บ้างในบางเวลา ถ้ามีสิ่งมาย้ำเตือน หรือสะกิดใจเรา แต่ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ก็จะถูกบันทึกเก็บไว้ภายในจิตใต้สำนึกของเราเช่นกัน  ดังนั้น ภาวะ ภวังค์ก่อนตายน่าจะมีผลต่อการตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ของเราก็เป็นได้

Advertisement

Advertisement


ภาวะภวังค์ ผู้เขียน หมายถึง ช่วงขณะที่เราใกล้หลับเต็มที ถ้าช่วงนั้นเราคิดถึงสิ่งใด ก็มักจะได้ฝันถึงสิ่งนั้น ( เมื่อครั้งตอนเป็นเด็ก ดูหนังมากก็เก็บไปฝัน เจอทารุณกรรมก็เก็บไปฝัน ) หากเราหมั่นฝึกสมาธิเป็นประจำ ผลที่ได้คือ การรู้สึกตนทุกขณะจิต รู้ว่านี่เรากำลังหลับอยู่ กำลังฝันอยู่นะ บางที เราอาจจะกำหนดหรือควบคุมตัวเราเองในฝันก็เป็นได้  อาจจะเหาะเหิน เที่ยวเล่นในฝัน  หรือเราอยากเห็นอะไร ไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นในฝัน


ภาวะภวังค์ก่อนจะตาย...หากเราอยู่ในภาวะภวังค์ แล้วสามารถคิดถึงแต่กรรมดี คิดถึงคนที่เรารัก เมื่อจิตของเรา หลุดออกจากร่าง เราก็อาจจะฝัน( สมมุติว่าวิญญาณสู่สุขคติคือวิญญาณหลับแล้วก็ฝัน)   คิดง่ายๆ หากเรายังไม่ตาย เรานอนหลับเราก็ฝัน แล้วส่วนใหญ่จิตใต้สำนึกก็จะไม่สามารถควบคุมได้ ก็ฝันเรื่อยเปื่อย พอตื่นรู้สึกตัวก็หยุดฝัน  ถ้าหากเราตาย ร่างกายไม่สามารถผูกกะจิต ได้ต่อไป  บางคนตายแบบไม่รู้ตัว วิญญาณที่ขาดการฝึกฝน ก็จะล่องลอย  คลื่นจิตวิญญาณก็อาจล่องลอยไปในที่ๆคุ้นเคยหรือที่ๆไปเป็นประจำสมัยมีชีวิตอยู่ หรือที่ๆวิญญาณรักและผูกพัน  เพราะจิตที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนก็ไม่แกร่งกล้าพอที่จะควบคุมได้ด้วยตนเอง  จึงได้ล่องลอยไปมา  อาจมีคนสนิทเห็นบ้าง สัมผัสได้บ้าง ถึงพลังงานบางอย่าง  แล้วแต่คลื่นความถี่ของจิตซึ่งอาจใกล้เคียงหรืออยู่ในระดับเดียวกัน  หรือเพราะคลื่นวิญญาณนั้นๆมีพลังที่มาก ก็อาจทำให้คนทั่วไปสัมผัสได้

Advertisement

Advertisement

ทำดี2แนวคิดเรื่องวิญญาณผู้เขียน มโนได้สามแนวทาง
ทางที่ 1 เมื่อวิญญาณหลุดออกจากร่าง มีสมุนของยมบาล มารับวิญญาณไปพิพากษา (ตามความเชื่อสมัยโบราณ ) ที่สอนกันมา  อาจเป็นกุศโลบายให้คนหมั่นทำความดีก็เป็นได้


ทางที่ 2 เมื่อวิญญาณหลุดออกจากร่าง ก็เห็นโน่น นี่นั่น เหมือนตอนเป็นมนุษย์นี่แหล่ะ ต่างกันตรงที่ วิญญาณ ไปไหนมาไหนได้เร็วกว่า คือไปตรงโน้น โผล่ตรงนี้  ได้ไวเท่าใจคิด  ใครเรียก ใครอธิษฐานถึง   ก็รับรู้ได้ด้วยกระแสจิต จึงไปปรากฏให้เห็นหรือสัมผัส   หรือ ส่วนใหญ่ ก็มาป้วนเปี้ยน วนเวียนอยู่ใกล้ๆร่างกายที่ไร้วิญญาณของตน เพราะยังผูกพันกันอยู่ ตัดขาดไม่ได้ แต่ก็เข้าไปใช้ร่างไม่ได้เพราะร่างไม่ทำงานแล้ว เปรียบเป็นวิทยุที่เสียจนซ่อมไม่ได้แล้ว ก็ไม่สามารถรับคลื่นวิทยุเพื่อกระจายเสียงได้อีกต่อไป  และเมื่อมีการสวดศพ วิญญาณก็จะเริ่มสงบเพราะได้รับผลบุญพลังจิตจากพระที่ทำพิธีสวดให้  เมื่อเผาศพ วิญญาณก็จะตัดขาดหลุดพ้นจากร่างกายเก่าและแล้วก็ไปสู่สุขคติ (วิญญาณหลับไหล)   จากนั้นจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรก ก็ขึ้นอยู่กับภาพความหลังครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึก  ถ้าในชีวิตที่ผ่านมาทำแต่ความดี เมื่อวิญญาณหลับไหล ก็จะฝันเห็นแต่สิ่งดีๆ จิตก็รู้สึกสุขใจ เปรียบเป็นว่าได้ขึ้นสวรรค์  ยิ่งเรื่องราวดีๆที่สะสมอยู่ในจิตวิญญาณมีมากแค่ไหนก็จะได้เสวยสุขบนสวรรค์นานแค่นั้น  พอเรื่องดีๆได้ถ่ายทอดออกมาจนหมดแล้ว  ก็ถึงเวลาที่จะต้องรับผลกรรมสำหรับเรื่องไม่ดีที่เคยกระทำมา กรณีที่มีคนสาปแช่ง มันก็จะติดตามมาด้วย เปรียบเป็นบันทึกที่เขียนไว้ในใจเรา มีคนนอกแอบมาเขียนข้อความไว้  พอเรามาอ่านซ้ำก็อาจข้ามข้อความนั้น หรืออ่านเจอข้อความนั้น ก็เป็นได้  เมื่อฝันร้ายของเราได้สิ้นสุดแล้ว  ก็ถึงเวลากลับชาติมาเกิดอีกแล้ว   หรือบางทีก็กลับไปฝันดีอีก สลับกันไปมา ตามการจัดเรียงของบันทึกจิตของเรา   (คือชดใช้กรรมเสร็จก็ขึ้นสวรรค์ พอหมดบุญบนสวรรค์ก็ลงมาชดใช้กรรม ไม่จบไม่สิ้นซะที)  เรื่องการสาปแช่ง กะการนั่งสมาธิเพื่อแผ่ส่วนกุศล ก็คงคล้ายการเจือปนจิตวิญญาณของผู้รับด้วยจิตที่มุ่งมั่น..  เคยได้ยินไหมที่ว่า การนั่งสมาธิส่งจิตแผ่เมตตาให้ผู้วายชนม์ ได้ผลบุญมากทีเดียว

Advertisement

Advertisement


ทางที่ 3 ลัดจากทางที่ 1 มาเลย คือ คิดว่าการตายก็คือการนอนหลับ ที่ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้  นั่นแสดงว่า เราก็จะเริ่มฝันโดยไม่มีการตื่นจากฝัน ( จนกว่าจะได้มาเกิดใหม่)  ส่วนจะฝันดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับการกระทำในขณะที่มีชีวิต

ทำดี4

ทางที่ดี ...ก็คงไม่พ้นควรฝึกสมาธิเป็นประจำ ฝึกจนควบคุมจิตได้ทุกขณะ เราก็จะได้มีสติในขณะที่ฝัน แล้วเมื่อวิญญาณเราหลับไหล เราก็คงตั้งจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านไปตามความหลังที่บันทึกไว้ในจิตใจของเรา   ถ้าเราหลุดพ้นเราก็อาจไปถึงขั้นนิพพาน คือไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก หรือเราอาจจะอยากลงมาจุติได้ด้วยใจของเราเองที่ หวังจะมาเกิดเพื่อทำประโยชน์ให้โลกมนุษย์

การกลับชาติมาเกิด อาจเป็นตอนที่วิญญาณเราตื่นจากฝัน  แล้วไปเจอคนในตระกูล ที่มีชีวิตน้อยๆอยู่ในครรภ์ มีความเป็นไปได้ว่า คลื่นจิตเรา เหมาะสมกับคนที่เกิดในตระกูลเราก็เป็นได้ จึงง่ายต่อการเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของเรา กับร่างกายน้อยๆ ในครรภ์นั้นๆ   และก็มาสู่คำกล่าวที่ว่า ...คนในตระกูลกลับชาติมาเกิด.. แต่ถ้าเผอิญจิตวิญญาณเรา ไปเจอคนนอกตระกูล แต่มีร่างกายที่เหมาะสมกับคลื่นจิตของเรา เราก็อาจไปเกิดใหม่ในตระกูลใหม่ เชื้อสายใหม่ ก็เป็นได้  ( เป็นที่มาของการที่ คนที่ไม่ใช่ญาติกัน มีใบหน้าละม้ายคล้ายกัน)

สมมุตินะ..สมมุติ ..มีการกลับชาติมาเกิดจริงๆ แล้วทำไมเราถึงจำอะไรไม่ได้เลย...อาจเป็นเพราะกลไกทางร่างกาย  มีเครื่องกรองโดยธรรมชาติ เหมือนเราเอาน้ำเสียมาผ่านเครื่องบำบัดแล้วกลายเป็นน้ำประปานั้นแหล่ะ หากไม่มีการกลั่นกรอง น้ำก็จะดำ ความทรงจำมันก็สะสมซ้ำๆ กัน ก็อาจจะกลายเป็นคนบ้าประเภทนึง  กลายเป็นหลายๆคนในร่างกายเดียวกัน    เพราะเครื่องกรองในสมองทำงานบกพร่องก็เป็นได้..บางคนอาจระลึกชาติได้  หรือบางคนอ่านเขียนภาษาต่างประเทศได้ทั้งที่ไม่เคยเรียน  บางคนก็กลายเป็นอัจฉริยะ ทั้งที่อายุน้อย ก็อาจเป็นเพราะมีบางส่วนของความทรงจำในชาติที่แล้วติดมาในชาตินี้ก็เป็นได้


เป็นไปได้ไหม..คนเดียวกัน มีจิตวิญญาณที่มากกว่าหนึ่ง ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าคนหลายบุคลิก แล้วแต่ละบุคลิกก็อาจจำบุคลิกอื่นที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้  หรืออาจจะจำได้ เหมือนกับว่าบุคลิกหนึ่งๆ ได้ดูการกระทำของอีกบุคลิกหนึ่ง ผ่านสายตาคู่เดียวกัน (คล้ายโดนผีสิงเลยเนอะ ) ต่างกันตรงที่ผีสิงอยู่ได้ไม่นาน ส่วนการรักษาโรคคนสองบุคลิกนี่ ก็ไม่รู้รักษาให้หายขาดได้จริงไหม  ถ้ารักษาได้จริงก็อาจเป็นเพราะวิญญาณส่วนเกินนั้นหลุดหรือขาดออกจากร่างไปด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เช่นการช็อตไฟฟ้า การกินยา   แล้วเมื่อใดที่เลิกกินยาบางส่วนของสมองเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะรับคลื่นได้หลายความถี่ อาการก็อาจกำเริบได้อีก
ทำดี3 ทำบุญได้บุญทันตาเห็น เคยเป็นไหม ...เวลาที่ทำดีให้ใคร ต่อใคร โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แล้วรู้สึกจิตใจเบิกบาน มีความสุข ยิ้มบางๆ ยิ้มทั้งน้ำตา นั่นแหล่ะได้บุญทันตาเห็น  แต่หากทำบุญเพราะ ถ้าไม่ทำจะเสียหน้า รู้สึกเสียดายตังค์แต่ต้องทำ อย่างนี้คือเกิดทุกข์ ก็จะไม่ได้บุญ เพราะใจเป็นทุกข์  บางคนทำบุญด้วยหวังว่าจะสะสมผลบุญทำให้ได้เกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี หรือหวังว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ อันนี้น่าจะก่อให้เกิดกิเลสเสียมากกว่า  แต่ถ้าคนที่ทำนั่น เค้าเข้าใจว่าสิ่งที่เค้าให้ บริจาคไป ทำให้เค้าได้บุญ เค้ามีความสุข ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ก็ถือว่าเค้าได้บุญ  แต่ถ้าเค้าทุ่มเททรัพย์สิน ละโมบโลภบุญ จนทำให้ลืมดูแล คนในครอบครัว ทำให้คนรอบข้างเป็นทุกข์ ผลแห่งการกระทำนั้นๆก็จะตอบสนองเค้าทำให้ชีวิตครอบครัวแตกแยก ไม่มีความสุข เพราะเค้าทำบุญกับคนอื่น แต่ทำบาปกับคนรอบข้าง ก็ลองคิดแล้วตัดสินใจกันเอาเองแล้วกันว่า การหวังว่าจะได้เสวยสุขภายหน้า หลังความตาย (ซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้) กับการมีความสุข ง่ายๆกับคนที่เรารัก และรักเรา   แบบไหนเรามีความสุขมากกว่ากัน  คงต้องเลือกเอาเอง..



บทสรุปก็คือ เราทุกคนทำดีได้ ไม่ต้องมาก เอาแค่ทำดี ให้พอดี เพื่อให้จิตใจรู้สึกดี แค่นี้ ก็พอ  เพราะหากทำมากเกินไป คาดหวังบุญมากๆ ก็จะกลายเป็น ตึงเกินไป  แต่หากว่าละเลย ไม่ทำบุญบ้างเลย ก็จะกลายเป็นหย่อนเกินไป  พระพุทธองค์ สอนให้เราเดินทางสายกลาง เราก็ทำแค่เพียงพอเหมาะพอควรสำหรับตัวเรา ทำแล้วรู้สึกเปรมปรีดิ์มีความสุข ทำดีไม่หวังผล ทำบุญไม่ละโมบโลภบุญ ก็ไม่เกิดกิเลส ไม่มีตัณหา ไม่ตกเป็นเครื่องมือของ มารศาสนา   หากเผลอทำบาปไป ก็อย่าคิดว่าต้องทำบุญเพื่อล้างบาป ( บุญก็ส่วนบุญบาปก็ส่วนบาป )  ในเมื่อบันทึกจิตของเรา  ได้เก็บทุกการกระทำ ของเราลงในจิตใต้สำนึกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว ผลของการกระทำในอดีต ก็จะต้องถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพฝันหลังความตายตามเรื่องราวที่ได้บันทึกไว้  อาจสลับไปมาบ้าง เหมือนเราเล่าหนังที่ดูมาสลับตอน   เมื่อหมดภาพทรงจำที่ดี เราก็หมดบุญ  เมื่อเกิดภาพความทรงจำที่ไม่ดีมาแทนที่เราก็ชดใช้กรรม  สลับไปมาแบบนี้  อาจจะวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา หรือจนหมดเรื่องราวที่จิตได้บันทึกไว้  ในเมื่อเราไม่สามารถบรรลุนิพพานได้   จิตวิญญาณของเราก็กลับชาติมาเกิดอีก วนเวียนไป จนกว่าจะบรรลุนิพพานซึ่งคงยากมาก

อ่านแล้วไม่ต้องเชื่อก็ได้ ใช้สติไตร่ตรองหาเหตุผลของตัวเอง ..ผู้เขียนเพียงหวังให้ทุกคนได้ทำความดี  ไม่กลัวความตาย  (เราทุกคนล้วนต้องตาย)  การพลัดพรากต่างหาก ที่น่ากลัว ..วันพรุ่งนี้ไม่ได้มีสำหรับทุกคน ฉะนั้น อยากทำดีกับใคร ให้รีบทำ รักใครชอบใคร ก็รีบบอก เพราะถ้าตายแล้ว คิดจะบอกก็คงไม่ทันแล้ว สื่อสารกันไม่ได้ หรือถ้าสื่อสารได้ ก็คงไม่มีใครรอฟัง  คงเผ่นกันเถอะโยม..5555

  • บทความโดย App Love Jinnee
  • ภาพปก และภาพประกอบที่ 1 ถ่ายโดยผู้เขียน ณ วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2)
  • ภาพประกอบที่ 2 ถ่ายโดยผู้เขียน ณ วัดสะแกงาม
  • ภาพประกอบที่ 3 - 4 ถ่ายโดยผู้เขียน ณ วัดโพธิ์ทอง

อัปเดตความรู้ใหม่ ๆ อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
AppLoveJinnee
AppLoveJinnee
อ่านบทความอื่นจาก AppLoveJinnee

รักหมา รักการวาดภาพ แต่งกลอน เขียนเรื่องที่มโนเอง

ดูโปรไฟล์

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์