อื่นๆ

คอยดูแล...

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
คอยดูแล...

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดของฉันจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ บรรพบุรุษของฉันมีความเชื่อว่าถ้าสร้างที่เก็บอัฐิธาตุ (ที่บ้านของฉันเรียกสั้นๆว่า "ธาตุ") ไว้ใกล้บ้าน ดวงวิญญาณบรรพบุรุษจะคอยอยู่ดูแลลูกหลาน คนในครอบครัว และบ้านเรือนไม่ให้มีภัยอันตรายมาทำร้ายได้ รุ่นปู่ย่าตายายทวดของฉันจึงสร้างธาตุหลังใหญ่ไว้ใส่อัฐิของทั้งตระกูลขึ้นมาและที่สำคัญคือสร้างไว้ข้างบ้านของฉันเลย ตั้งแต่เล็กจนโตคนอื่นๆที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน่ากลัวมากกกกก และชอบเจอเรื่องแปลกๆ เช่น บางคนเห็นเงาคนเดินอยู่ในบ้าน บางคนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันจอแจ แต่ผิดกับคนในครอบครัวที่จะรู้สึกว่าอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

เหตุการณ์แรกที่ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่ามีคนอยู่ดูแลบ้านก็คือ ช่วงสงกรานต์เมื่อห้าปีที่แล้วพี่สะใภ้ได้มีโอกาสมาเที่ยว แต่นอนบ้านสามีที่อยู่หลังข้างๆถัดไปประมาณ 500 เมตร วันนั้นแกเดินมาตะโกนเรียกหาสามีตัวเองที่หน้าบ้านของฉันเพราะแม่สามีบอกให้ไปตามมาทานข้าว แกยืนเรียกอยู่สักพัก สายตาแกก็มองทะลุกระจกเข้าไปในบ้านเห็นเงาตะคุ่มๆแกก็เลยเรียกชื่อสามีซ้ำอีก ยังเรียกไม่ถึงสามคำก็มีเสียงผู้หญิงแก่ๆตะโกนแทรกขึ้นมาว่า "ไอ่...มันไม่ได้อยู่นี่ เดินไปดูบ้านเพื่อนมันสิ่" พี่สะใภ้ยืนยิ้มอยู่หน้าบ้านและตะโกนขอบคุณ แต่ยังไม่ทันที่แกจะหันหน้าออกมาจากบ้าน สามีของแกก็เดินมาสะกิดว่ามาทำอะไรตรงนี้แล้วยืนยิ้มให้ใครน่ะ แกเลยตอบสามีตัวเองไปว่า "ก็มาตามเธอไปทานข้าวนั่นแหละ ดีนะที่คุณยายบอกว่าไม่อยู่บ้านนี้ กำลังจะเดินกลับไปบอกแม่ของเธออยู่ว่าหาเธอไม่เจอ" สามีแกเลยมองหน้างงๆปนตกใจแล้วบอกภรรยาตัวเองว่า "สงกรานต์ปีนี้ญาติบ้านนี้ไม่มีใครกลับมาเพราะน้องติดเรียนที่มหาวิทยาลัย ดูสิ่บ้านก็ล็อคอยู่นะ" สามีแกพูดพรางชี้นิ้วไปที่ประตูบ้าน ทั้งคู่ตาโตเม้มปากปิดสนิทเป็นอันรู้กัน แล้วเดินออกมาจากเขตบ้านของฉันอย่างเงียบๆ พอกลับมากรุงเทพฯแกเลยมาเล่าให้ฉันฟัง ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรแค่คิดในใจว่าหูฝาดไปเองป่าวอยู่มาตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเจอเลย - -

Advertisement

Advertisement

จวบจนมาถึงเหตุการณ์นี้ที่ทำให้ฉันเชื่อสนิทใจเลยว่าบรรพบุรุษยังคงคอยดูแลลูกหลาน และบ้านเรือนอยู่จริงๆ ก็คือ เมื่อสองปีที่แล้วเพิ่งผ่านพ้นปีใหม่ไปไม่ถึงเดือน อยู่ๆญาติที่ให้ช่วยสอดส่องดูแลต้นไม้ให้ก็โทรศัพท์มาหาแม่ของฉันแล้วบอกว่าขโมยขึ้นบ้าน ยังไม่ทันได้คุยรายละเอียดอะไรกับญาติเลย แม่ก็วางโทรศัพท์แล้วกดโทรไปจองตั๋วรถทัวร์เพื่อกลับต่างจังหวัดกับฉันในวันรุ่งขึ้นทันที พอมาถึงแม่ก็เดินอย่างเร่งรีบเข้าไปในบ้าน โดยที่ยังไม่พูดอะไรกับญาติๆเลย แกเดินตรงเข้าไปที่ห้องนอนของตัวเอง ฉันก็เดินตามไปติดๆ สภาพห้องนอนของแม่คือมีรอยรองเท้าดำๆเต็มพื้นห้อง และของในห้องก็ถูกรื้อค้นจนกระจายไปทั่ว แม่พูดขึ้นมาว่า "ไม่น่าเก็บไว้ที่นี่เลย จะหายรึป่าวเนี่ย" ยังไม่ทันที่ฉันจะถามอะไร แม่ก็ยกฟูกขึ้นแล้วเปิดไม้กระดานใต้ฟูกดู สิ่งที่ฉันเห็นคือทองรูปพรรณและพระเครื่องที่แม่สะสมไว้ตั้งแต่สมัยแต่งงานกับพ่อ "เอ๊ะ!! ทำไมไม่เห็นมีอะไรหายเลย" แม่พูดและหันมามองหน้าฉันอย่างงุนงง แม่ก็เลยพาฉันเดินสำรวจทั่วๆบ้านว่ามีอะไรหายรึป่าว ปรากฎว่าไม่มีอะไรหายไปเลยแม้แต่อย่างเดียวทั้งๆที่มีรอยเท้าของขโมยมากกว่าสองคนและของต่างๆในบ้านก็โดนรื้อแบบเทกระจาด อยู่ๆแม่ก็เลยพูดขึ้นมาลอยๆว่าขอบคุณนะคะ ฉันยืนงงแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับคำพูดแม่และอยู่ช่วยเก็บกวาดบ้านกับแม่ต่ออีกสองสามวัน

Advertisement

Advertisement

ในวันสุดท้ายก่อนที่ฉันกับแม่จะกลับกรุงเทพตำรวจได้โทรมาแจ้งว่าเจอคนร้ายที่มาขโมยของแล้วเพราะมามอบตัว ตำรวจเล่าให้ฟังว่าพวกมันเข้ามาทางหลังบ้านเพราะเห็นว่าไม่มีคนพลุกพล่านเลยแงะเข้าไปหวังจะขโมยของมีค่าในบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปก็แยกย้ายกันรื้อค้นหาของมีค่า ทุกคนที่เข้าไปรับรู้ได้ถึงลมเย็นๆวิ่งผ่านตัวทั้งๆที่บ้านถูกปิดทั้งประตูและหน้าต่าง ขณะที่หาของอยู่ก็มีคนกระซิบข้างๆหูว่า "หาาาาเจออออไหมมมม..." ทุกคนร้องเสียงหลงขึ้นมาพร้อมกันเลยเพราะได้ยินเหมือนกันทั้งๆที่ค้นของกันอยู่คนละห้อง ถึงพวกมันหนีไปแต่เสียงยืดๆยาวๆเสียงนั้นก็ยังคงติดตามพวกมันไปด้วยทุกครั้งที่หลับตา พวกมันเลยมามอบตัว ตำรวจถามแม่ว่าจะเอาเรื่องไหมเพราะเห็นว่าไม่มีของมีค่าหาย แม่เลยตอบคุณตำรวจไปว่า "ไม่เอาเรื่องจ่ะ แต่ยังไงก็พาพวกนั้นมาขอขมาธาตุที่บ้านด้วยนะ" เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนั้นถึงแม้จะสรุปไม่ได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร แต่ก็ทำให้ฉันมั่นใจและเชื่อใจคนในครอบครัวของฉันมาก ว่าพวกเขาจะคอยดูแลลูกหลานทุกคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีชีวิตแล้ว และขึ้นชื่อว่าเป็น..วิญญาณ...แล้วก็ตาม

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์