อื่นๆ

คำสัญญาก่อนตาย

174
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
คำสัญญาก่อนตาย

เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนสนิทฉันเองค่ะ เพื่อนสนิทของฉันคนนี้ชื่อตาล ฉันกับตาลสนิทกันมาก คุยกันได้ทุกเรื่อง ตาลเป็นคนคุยเก่งคุยสนุก  เฮฮา ฉันเลยชอบที่จะอยู่กับเธอมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ จนเพื่อนๆ ในห้องเรียกพวกเราว่า แฝดสยาม

แต่พักหลังๆ มานี้ตาลดูแปลกไป เธอเงียบไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร หน้าตาดูอิดโรย เหมือนไม่ค่อยได้นอนมาเป็นเวลาหลายวัน พอฉันถามว่าเป็นอะไร ตาลก็ไม่ยอมบอก  เอาแต่ส่ายหัว แล้วก็เดินหนี ฉันเองก็รู้สึกน้อยใจที่ตาลตีตัวออกห่าง ไม่ยุ่ง ไม่พูดไม่จากับฉันและเพื่อนคนไหนเลย

แต่เท่าที่ฉันสังเกตตาลตอนนั้น เหมือนเธอหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง จนไม่กล้าเล่าให้ฉันฟัง พอฉันถามเธอและเดินจะเข้าไปกอดปลอบใจ เหมือนเช่นทุกครั้งเวลาที่ตาลมีปัญหาฉันมักจะทำแบบนี้ แต่ตาลกับผลักฉันออก ตอนนั้นฉันโกรธตาลมาก และไม่คุยกับเธออีกเลย หลังจากวันนั้นอีกประมาณ 2 วันตาลก็ไม่มาโรงเรียนอีกเลย เพราะสาเหตุอะไรฉันก็ไม่รู้ ฉันเริ่มคลายความโกรธลงแต่ฉันกลับสงสัยว่าตาลมีปัญหาอะไรกันแน่

Advertisement

Advertisement

และความสงสัยของฉัน ฉันเลยตัดสินใจไปที่บ้านของตาลเพียงลำพัง กะจะถามให้รู้ความจริงให้ได้ว่าตาลมีปัญหาอะไรกันแน่

พอไปถึงหน้าบ้านของตาล ฉันก็กดกริ่งหน้าบ้าน สักพักแม่ของตาลก็เดินออกมาเปิดประตูให้  และเดินนำฉันเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มให้เล็กน้อยเมื่อฉันยกมือขึ้นไหว้ท่าน  ที่บ้านมีตาลอยู่กับแม่แค่ 2 คน เพราะพ่อเสียตั้งแต่ตาลยังเด็ก

พอฉันเดินเข้าไปถึงในบ้าน ฉันเอ่ยถามแม่ของตาลก่อน “แม่คะ ตาลอยู่รึป่าวคะ”

“อยู่จ่ะ อยู่บนห้อง” แม่ตอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

“แม่เป็นอะไรรึป่าวคะ”

“ปะ ป่าวลูก ขึ้นไปหาตาลเถอะ”

ฉันมองท่านอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรต่อ ฉันรีบพยักหน้าและ ลุกเดินขึ้นบันได เพื่อไปที่ห้องของตาลซึ่งอยู่ชั้น 2 ของบ้าน

ฉันยืนเคาะประตูอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีใครมาเปิด ฉันเลยเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงว่ามีคนอยู่ในห้องรึป่าว

Advertisement

Advertisement

แต่ฉันกลับได้ยินเสียงคนคุยกัน มันเป็นเสียงผู้ชายกับผู้หญิงกำลังเถียงอะไรกันซักอย่าง แต่เสียงผู้หญิงนั้นเป็นเสียงที่คุ้นหูนั้นก็คือเสียงของตาล แล้วเสียงผู้ชายละใครกัน ฉันพยายามเอาหูแนบให้ชิดมากกว่าเดิม เพื่อฟังให้รู้ว่าตาลกำลังคุยอยู่กับใคร

อยู่ดีๆ ประตูก็ถูกเปิดออก ทำให้ตัวของฉันพุ่งเข้าไปอยู่ในห้อง

“เธอมาทำไมจ๋า” ตาลถามฉันขึ้นทันที พร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นฉันเข้าไปอยู่ในห้องของเธอ

แต่ฉันไม่สนใจสิ่งที่เธอถาม ฉันกับถามตาลกลับ

“เมื่อกี้เธอคุยอยู่กับใครตาล ฉันได้ยินเสียงผู้ชาย” พูดเสร็จฉันก็กวาดสายตามองรอบๆ ห้อง แต่ไม่เห็นใครสักคน เห็นเพียงตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ตั้งเด่นอยู่บนเตียงกลางห้อง

“ใคร ก็ไม่เห็นมีใครนิ ฉันอยู่คนเดียว” ตาลรีบอธิบายให้ฉันฟัง แต่ท่าทีของตาลดูลุกลี้ลุกลน

Advertisement

Advertisement

“จะไม่มีใครได้ยังไง ก็ฉันได้ยินสียง” ฉันยังถามตาลต่อเพื่อให้รู้ความจริง

“ฉันบอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ อย่ามายุ่ง แล้วก็ออกไปได้แล้ว” ตาลพูดพร้อมกับผลักฉันให้ออกไปจากห้องของเธอ

“ไม่ ฉันไม่ออก ตาลเธอเป็นอะไร โรงเรียนก็ไม่ไป แถมยังทำตัวแปลกๆ ตาลไม่เคยเป็นแบบนี้นี่” พอตาลได้ฟังสิ่งที่ฉันพูดเธอก็เริ่มมีสีหน้าเศร้าๆ เหมือนกับจะใจอ่อน

“เล่าฉันฟังเถอะตาล จะได้ช่วยแก้ปัญหากันไง” ตาลพยักหน้าพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่หยุด

ในขณะที่ฉันจะเดินเข้าไปกอดตาล ก็มีเสียงผู้ชายตะโกนออกมา “ออกไป  อย่ามาเสือกเรื่องของพวกกู”

พอสิ้นเสียงนั้น ฉันก็กระเด็นออกมานอกห้องเหมือนกับว่ามีคนผลักฉันออกมา แล้วประตูก็ปิดอย่างแรง

ตอนนั้นฉันเองก็ตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก เลยรีบวิ่งลงบันไดอย่างไม่คิดชีวิต พอเจอแม่ของตาลยืนอยู่ตีนบันได ฉันก็รีบวิ่งไปหาท่านทันทีด้วยสีหน้าที่ตื่นกลัว

“แม่คะนี่มันเกิดอะไรขึ้น เล่าให้หนูฟังเถอะ”

แม่ของตาลพาฉันมานั่งที่โซฟาและเล่าให้ฉันฟังว่า ตั้งแต่แฟนของตาลเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ตอนนั้นตาลค่อนข้างตกใจที่แฟนของเธอจากไปอย่างกะทันหัน ซึ่งคนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า แฟนของตาลขับรถมอเตอร์ไซด์แล้วนำตุ๊กตาหมีขนาดใหญ่ไว้ทางด้านหน้า ทำให้รถเสียหลักพุ่งเข้าชนกับรถสิบล้อทำให้เสียชีวิตคาที่

ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้นตาลก็นำตุ๊กตาหมีตัวนั้นเข้ามาในบ้าน เพราะเป็นความต้องการของแฟนเธอก่อนตาย หลังจากวันนั้น ตาลก็เป็นอย่างที่เห็น วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง และไม่ยอมให้ใครเข้าไปในห้องแม้กระทั่งแม่ของตาลเอง  แม่ของตาลยังบอกว่าบางทีก็เหมือนกับว่าตาลกำลังคุยกับใครอยู่ในห้อง บางทีก็ทะเลาะกันเสียงดัง

แม่ของตาลท่านบอกว่าท่านจะขึ้นไปดู ก็มีเสียงผู้ชายมากระซิบที่ข้างหูว่า “ไม่ต้องขึ้นมา” จนท่านก็ไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นไป ได้แต่ยืนมองอยู่ตรงบันได ท่านเองก็ทั้งกลัวทั้งเป็นห่วงลูก ท่านยังบอกอีกว่าท่านไม่กล้าไปปรึกษาใคร กลัวคนอื่นหาว่าตาลสติฟั่นเฟือนที่เสียแฟนไปอย่างกะทันหัน

ฉันได้ยินเรื่องราวที่แม่เล่า ฉันคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่พวกเราจะแก้ปัญหาได้ ฉันเลยชวนแม่ของตาลไปหาหลวงปู่ท่านหนึ่ง ซึ่งหลวงปู่ท่านเป็นเพื่อนกับปู่ของฉันค่ะ ท่านบวชมาไม่ต่ำกว่า 20 พรรษา ปู่ของฉันเคยเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ท่านนี้แต่ก่อนเป็นนักเลงหัวไม้ ต่อยตีกับเขาไปทั่ว เกกมะเหลกเกเร  จนหลงผิดไปเล่นของสายดำ เที่ยวทำของใส่คนนู้นคนนี้ จนของเกือบจะเข้าตัว จนมีพระองค์หนึ่งมาช่วยไว้ หลวงปู่ท่านเลยบวชและล่ำเรียนวิชากับพระองค์นั้น เพื่อช่วยคนที่เดือดร้อน และกำลังมีทุกข์

พอรุ่งขึ้นอีกวัน ฉันนัดกับแม่ของตาลเพื่อจะไปพบหลวงปู่ พอไปถึงแม่ของตาลเล่าเรื่องทุกอย่างให้ท่านฟังทั้งหมด  หลวงปู่จึงไหว้วานให้ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งไปนำตุ๊กตาออกมาจากห้องของตาล  ฉันกับแม่ของตาลเลยพาลูกศิษย์คนนี้ไปที่บ้าน  ลูกศิษย์คนนี้ชื่อ ลุงมี ฉันมองจากลักษณะแล้วก็น่าจะเก่งไม่เบาเลยละ คงจะเรียนวิชาจากหลวงปู่มาไม่น้อย

พอถึงหน้าห้องตามีบอกให้พวกเรายืนอยู่ข้างนอกไม่ต้องเข้าไป ฉันกับแม่รีบพยักหน้าทันที ฉันมองลอดผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มอยู่ เห็นลุงมีเดินเข้าไปพูดบางอย่างกับตาล และหันหน้าไปทางตุ๊กตายกมือขึ้นพนมปากก็พลางพูดอะไรสักอย่าง แล้วก็อุ้มตุ๊กตาออกมา

ฉันแอบคิดในใจ ว่ามันง่ายแบบนี้เลยเหรอ ทีคราวก่อนฉันเข้ามาในห้องถึงกับกระเด็นออกไปนอกห้องอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว สิ้นความคิดของฉันลุงมีเดินอุ้มตุ๊กตาออกมา แล้วบอกว่าให้พวกเราทุกคนตามไปที่วัด

ฉันกับแม่รีบวิ่งเข้าไปดูตาลทันที และถามว่าทั้งหมดนี้มันคือเรื่องอะไร ตาลเล่าทุกอย่างให้พวกเราฟังทั้งน้ำตา “หนูผิดเองค่ะแม่ ก่อนวันที่นพแฟนของหนูจะเสีย หนูไปสัญญากับนพ ว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ถ้ามีใครเป็นอะไรก่อนใครหรือใครจากไปก่อน คนที่อยู่ก็ต้องทำตามคำสัญญา คือต้องตามไปอยู่ด้วยกัน แต่หนูทำตามสัญญาไม่ได้ หนูต้องอยู่ดูแลแม่ นพเลยคิดว่าหนูผิดสัญญาเขาเลยมาทวงคำสัญญา”

แม่เข้าไปกอดตาลทันที บอกแต่ว่าไม่เป็นไรลูก เราไปหาหลวงปู่ที่วัดกัน

พอมาถึงที่วัด พบว่าหลวงปู่กำลังนั่งคุยกับใครบางคนซึ่งไม่มีตัวตน พวกเราเลยเดินเข้าไปแล้วนั่งก้มลงกราบท่าน หลวงปู่ท่านพยักหน้าให้ลุงมีมาอธิบายทุกอย่างให้พวกเราฟัง

ลุงมีบอกว่ามีวิญญาณอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ แต่หลวงปู่ได้คุย และชักชวนให้มาอยู่กับหลวงปู่จนกว่าจะสิ้นอายุไข ซึ่งเขาก็ยอมโดยดี แต่เขาอยากเจอคนรักของขาเป็นครั้งสุดท้าย ตาลที่นั่งฟังถึงกับร้องไห้โฮ แม่ของตาลกอดเธอไว้ไม่ห่างตัว

“หนูก็อยากคุยกับเขาค่ะ”

ลุงมีจึงให้ตาลนั่งสมาธิทำจิตให้นิ่งเพื่อจะได้พบคนรักของเธอ ขณะที่ตาลนั่งสมาธิอยู่ดีๆ ฉันก็ขนลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ  ตาลนั่งสมาธิได้สัก 10 นาที อยู่ดีๆ เธอก็ร้องไห้ออกมา ฉันเองก็ร้องตามไปด้วย

หลวงปู่พูดขึ้น “หมดเรื่องกันสักทีนะ ทีนี้ก็ต่างคนต่างอยู่เพราะเราอยู่กับคนละภพแล้ว” ตาลพยักหน้าทั้งน้ำตา พวกเราจึงก้มลงกราบลาหลวงตา

พอออกมาด้านนอกวัดแม่ของตาลก็ถามทันที “เป็นยังไงบ้างลูกไปเจอกับนพมา”

ตาลเล่าให้ฟังทั้งน้ำตา “นพเขาบอกหนูว่าเขาจะไปอยู่กับหลวงปู่ เขาขอโทษหนูที่เขาเห็นแก่ตัวที่คิดจะเอาหนูไปอยู่กับเขา  เขาบอกว่าเขาจะไปอยู่ในภพภูมิของเขาแล้วให้หนูดูแลตัวเองดีๆ”

ฉันเดินเข้าไปกอดตาล “ไม่เป็นไรแล้วเนอะ เดียวเราไปทำบุญให้นพกัน” พอฉันพูดเสร็จ  พวกเราก็ไปทำบุญเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับนพ เพื่อที่นพจะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่เหมาะสมต่อไป

เรื่องร้ายๆ ผ่านไป อีก 2 อาทิตย์ตาลก็มาเรียนตามปกติ เธอกลับมาเป็นเพื่อนที่น่ารักของฉัน และของเพื่อนทุกคนดังเดิม แววตาของเธออาจจะดูเศร้าอยู่ แต่ฉันว่าเวลาจะช่วยให้เธอดีขึ้น

2 เดือนผ่านไปฉันลองแวะไปที่วัด เพื่อไปดูว่าตุ๊กตาตัวนั้นยังอยู่ไหม พอไปถึงก็เจอลุงมียืนกวาดลานวัดอยู่ ฉันจึงเดินเข้าไปถาม

“ลุงคะ ตุ๊กตาตัวนั้นยังอยู่ไหมคะ”

“ไม่อยู่แล้วละวิญญาณในตุ๊กตาสิ้นอายุไขแล้ว หลวงปู่เลยนำตุ๊กตาไปทำพิธี และเผาไปแล้ว”

ฉันฟังที่ลุงมีพูดเสร็จ ฉันก็เดินออกมาจากวัดแล้วรีบไปบอกตาล ตาลเองก็ดีใจที่นพไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานและได้ไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมสักที ฉันเห็นตาลยิ้มอย่างสบายใจ ฉันเองก็รู้สึกสบายใจที่ตาลคลายความทุกข์ที่มีไปบ้าง

และหวังว่าอีกไม่นานตาลคงจะกลับมาเป็นเพื่อนสนิทของฉันที่คุยสนุก เฮฮา และ ยิ้มเก่ง ดั่งเดิม

............................................................................................................

ภาพโดย thisguyhere จาก Pixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์