อื่นๆ

ต้นไม้ใหญ่ริมทาง

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ต้นไม้ใหญ่ริมทาง

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปี พ.ศ. 2544 ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของจังหวัดที่ถูกยกย่องว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์ มันเป็นเรื่องราวที่ยังคงถูกพูดถึงเล่ากันต่อๆ มาอย่างช้านาน ก่อนที่ต้นไม้ต้นนี้จะถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน  เป็นเรื่องราวของต้นไม้สูงใหญ่ขนาด 2 คนโอบ ที่อยู่ข้างทาง มีกิ่งก้านสาขาปกคลุมจนกิ่งข้ามไป ปรกถนนอีกฝั่งได้ เนื่องจากเป็นถนนในชนบท ถนนจึงมีลักษณะแคบ และเปลี่ยว ไฟฟ้าในสมัยนั้นก็ยังมีไม่ถึง

บรรยากาศที่เงียบสงัด

คืนวันนั้นเป็นคืนก่อนวันปีใหม่ น่าจะช่วงวันที่ 27-28 ของเดือนธันวาคม อากาศหนาวเย็นยะเยือกบวกกับบรรยากาศของความมืดมิดของถนนในชนบท ต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้ที่อยู่ในช่วงด้านหลังของหมู่บ้าน เป็นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยว บ้านคนก็อยู่ห่างจากเส้นทาง เนื่องจากเป็นทางลัดที่สองข้างทางเป็นท้องทุ่งนา และต้นไม้ริมทางมากมาย  ลุงยม...ชายคนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี เพราะลุงแกเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี แกอยู่บ้านคนเดียวซึ่งเป็นบ้านหลังเล็กๆ ปลูกอยู่ห่างจากตัวหมู่บ้าน ซึ่งต้องใช้เส้นทางนี้ในการสัญจรเพื่อเข้ามาในหมู่บ้านเป็นประจำ คืนนั้นด้วยความที่ลุงคุ้นชินกับเส้นทางและความมืดมิด แกก็ไม่ได้คิดอะไร และวันนั้นลุงยมก็จะเดินทางมาที่บ้านของเพื่อนที่อยู่ในตัวหมู่บ้าน เนื่องจากมีนัดสังสรรค์ตามประสาของคนในชนบท ลุงยมดื่มไปเยอะเท่าไหร่ไม่มีใครทราบ แต่เมื่อเวลาประมาณเกือบเที่ยงคืน ลุงยมก็ขอตัวกลับบ้าน ซึ่งพาหนะที่ลุงยมใช้เดินทางมาก็เป็นเพียงจักรยานคันเก่าๆ ที่มีสนิมเกรอะ

Advertisement

Advertisement

ในระหว่างทางที่ลุงยมกำลังปั่นจักรยานกลับบ้าน เมื่อมาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ลุงยมก็ต้องผวา ใจหายวูบ เมื่อลุงเห็นหญิงสาวชุดสีขาวนั่งห้อยขาอยู่บน กิ่งไม้ใหญ่ พร้อมยกมือกวักมือเรียกลุงยม ลุงเล่าว่าตอนนั้นลุงกลัวมากตัวแข็งทื่อไปทั้งตัวแต่ก็ต้องกลับบ้านลุงจึงปั่นจักรยานให้ไวขึ้นให้ผ่านต้นไม้ต้นนี้ไปให้เร็วที่สุด ในใจก็ปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่ภาพหลอนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ เมื่อลุงมาถึงบริเวณใต้ต้นไม้ ลุงก็เริ่มร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังมากขึ้น “กูกลัวแล้ว ๆ” ขาก็แข็งแต่ก็พยายามปั่นให้เร็วที่สุดเพื่อให้พ้นต้นไม้ต้นนี้ เพราะผมของหญิงสาวชุดขาว ยาวขึ้น ๆ ๆ...ยาวตามท้ายรถจักรยานของลุงมา ลุงบอกว่าผมนั้นพยายามจะพันเข้าซี่ล้อจักรยานของลุง เหมือนต้องการให้ลุงหยุดที่ต้นไม้ต้นนั้น ลุงยมจึงปั่นจักรยานด้วยความไว ถึงแม้จักรยานคันเก่าของลุงจะไม่เอื้ออำนวย เมื่อพ้นมาซักระยะแล้ว ด้วยความสงสัยว่าเป็นเพราะภาพหลอน หรือว่าสิ่งที่ลุงเห็นนั้นมันมีจริง ๆ ลุงจึงหันหลังกลับไปมอง ลุงยมก็ต้องรีบปั่นจักรยานแบบไม่คิดชีวิตอีกครั้งเมื่อสิ่งที่เห็นมันชี้ชัดแล้วว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน เพราะระหว่างที่ลุงหันไปมองร่างของผู้หญิงชุดขาวกลับห้อยหัวลง มามองลุงด้วยสายตาที่แดงกร่ำ และลิ้นสีม่วงคล้ำที่จุกปากของหญิงคนนั้น

Advertisement

Advertisement

หญิงสาวบนต้นไม้

เช้าวันรุ่งขึ้นลุงยมขี่จักรยานอ้อมไปอีกทางเกือบ 5 กิโลเมตร เพื่อเข้าไปในหมู่บ้านเนื่องจากไม่กล้าใช้เส้นทางนี้ในการสัญจร หรือขี่ผ่านเนื่องจากเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมาเมื่อคืน เมื่อถึงบ้านเพื่อนลุงเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนของลุงฟัง แต่กลับไม่มีใครเชื่อคิดว่าลุงยมนั้นเกิดภาพหลอนจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ หรือเพียงแต่งเรื่องขึ้นมา แต่ลุงยมก็ยืนกรานเสียงแข็งว่าลุงเห็นจริงๆ จนเพื่อนของลุงยมให้ลุงพาไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ลุงยมก็ไม่ยอมไปเพราะยังกลัวอยู่  แต่ด้วยความที่เพื่อนคิดว่าลุงแต่งเรื่องขึ้นมา และเนื่องจากเป็นช่วงเวลากลางวันจึงตัดสินใจแบบกล้าๆ กลัวๆ พาเพื่อนไปดู และสิ่งที่น่าขนหัวลุกก็เกิดขึ้นจริงๆ อีกครั้งในตอนกลางวันแสกๆ เมื่อเพื่อนลุงยมและกลุ่มคนที่ตามติดมาด้วยพบศพหญิงสาวในชุดขาวตามที่ลุงยมเล่า ผูกคอตายอยู่ที่บนกิ่งไม้ ผมสยายยาว ลิ้นจุกปาก ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุมาณ 25 ปี ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านนั่นเอง

Advertisement

Advertisement

เครื่องไหว้

หลังจากนั้นเรื่องเล่าของต้นไม้ต้นนี้ก็ถูกเล่าต่อๆ กันไปอย่างกว้างขวาง และได้มีการทำพิธีทางศาสนา และพิธีตามหลักความเชื่อของชาวบ้านเพื่อให้วิญญาณไปสู่สุขติ และทุกวันนี้ต้นไม้ต้นนี้ก็ยังคงสูงตระหง่านอยู่ริมทาง ใต้โคนต้นมีศาลเล็กๆ ตั้งอยู่พร้อมเครื่องไหว้ มากมาย ซึ่งในตอนกลางคืนปัจจุบัน ได้มีการทำถนนใหม่ และมีการติดตั้งไฟฟ้าตามข้างทางเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยเรื่องเล่าสุดสยองนี้ที่ยังคงอยู่  ทำให้ในช่วงพระอาทิตย์ลับแสงไป ก็ยังไม่มีใครกล้าใช้เส้นทางนี้สัญจรไปมาอยู่ดี

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
https://wallhere.com/th/wallpaper

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์