อื่นๆ
ความเป็นมาของ...อ้วนกลม
การเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ปรารถนา เพราะเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับการเจ็บป่วย มักทำให้มีผลกระทบตามมามากมายในชีวิต แม้ในสัตว์ก็เช่นกัน ภาวะความเจ็บป่วย ทำให้พวกเค้าได้รับความทุกข์ทรมาน สิ่งที่ตามมาบางตัวพิการ บางตัวถึงขั้นต้องตัดอวัยวะ หรือแม้แต่บางตัวก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันเวลา
ความไม่มีโรค
เป็นลาภอันประเสริฐ
เมื่อ 3 ปีก่อน คุณลุงนำสุนัขมาให้เลี้ยงจากจังหวัดกาญจนบุรี แม่ตั้งชื่อว่า " สตางค์ " น้องเป็นสุนัขพันธุ์ชิวาวา วันแรกที่เจอสตางค์ แววตาน้องไร้ซึ่งความสดใสร่าเริง ร่างกายซูบผอม ใบหูทั้งสองข้างตกลงตลอดเวลา ด้านในใบหูมีสีซีดเห็นเส้นเลือดไม่ชัดเจน มีเห็บและหมัดเกาะอยู่ตามขอบใบหูทั้งสองข้าง นอกจากนั้นยังพบที่ขาหน้า ขาหลัง และซอกอุ้งเท้า ซึ่งมีอยู่พอสมควร น้องมักจะเดินช้าๆสั่นๆ เดินได้ 2-3 ก้าวก็จะหยุดนอนลง
Advertisement
Advertisement
แม่รีบพาสตางค์ไปพบสัตวแพทย์ที่คลีนิกแห่งหนึ่งในตลาด เมื่อตรวจร่างกายก็พบว่ามีไข้สูง และซีดมาก สัตวแพทย์อธิบายพอสังเขปว่าน่าจะมีการติดเชื้อในเม็ดเลือดลากเห็บและหมัดที่เกาะอยู่ตามตัว ซึ่งก็มีโอกาสที่เชื้อจะเข้าสู่ระบบประสาทได้ อาการหนักพอควร โอกาสรอดมีน้อย เบื้องต้นให้รอดูอาการ 7วัน จึงฉีดยาฆ่าเชื้อ และให้ยาบำรุงมาป้อน 4ตัว
แม่อาบน้ำ และหมั่นเอาเห็บหมัดออกให้สตางค์ทุกวัน ป้อนยาครบตามที่สัตวแพทย์จ่ายมาใหทุกมื้อ น้องเริ่มมีแรงเดินมากขึ้น ไม่มีอาการสั่น แววตาเริ่มฉายแววความสดใส เมื่อครบ 7วัน แม่พาสตางค์ไปตรวจที่คลีนิกซ้ำ และได้ยามากินอีก 2สัปดาห์ อาการน้องค่อยๆแข็งแรงขึ้นมาก
จนวันหนึ่งขณะที่แม่กำลังเตรียมผสมข้าวให้สตางค์ น้องเดินวนเวียนไปมารอบๆแม่ กระสับกระส่าย คล้ายอยากถ่ายอุจจาระ ไม่กี่นาทีต่อมาน้องมีอาการตัวเกร็ง หายใจเข้าออกอย่างแรงหลายครั้ง แล้วร้องเสียงดังออกมาอย่างทรมาน แม่พยายามปลอบน้อง ลูบที่หัวและลำตัวน้องอยู่หลายๆครั้ง จนเวลาผ่านไปเกือบ 2นาที อาการจึงสงบลง แต่ยังหายใจแรง และมีอาการเกรงเป็นระยะ แม่รีบพาสตางค์ไปที่คลีนิก สัตวแพทย์บอกว่าน้องมีอาการติดเชื้อรุนแรง เชื้อเข้าไขสันหลัง จึงฉีดยาเพื่อให้ร่างกายน้องผ่อนคลายลง แล้วแนะนำให้รีบพาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสัตว์
Advertisement
Advertisement
หลังจากที่พาสตางค์ไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์ประจำจังหวัด พบว่าสตางค์ป่วยเป็นโรคพยาธิในเม็ดเลือด โรคนี้ส่งผลให้น้องเดินไม่ได้เหมือนเดิม คือ ขาหลังสองข้างอ่อนแรงจนแทบไม่มีความรู้สึก เวลาเดินน้องจะใช้ขาหน้าพยุงตัวเดิน ส่วนขาหลังก็จะลากไปกับพื้น สัตวแพทย์ให้ยาฆ่าเชื้อที่ระบบประสาท ให้ยากันชัก ยากระตุ้นการขับถ่าย และยาบำรุงประสาท นัดมารับยาทุกๆ 1สัปดาห์ ระบบประสาทที่บกพร่องไปนี้ยังทำให้สตางค์ปัสสาวะไม่ออก แต่จะเล็ดออกทีละน้อยไม่เป็นเวลา ไม่ถ่ายอุจจาระเองใน 3วันแรก สัตวแพทย์แนะนำให้แม่ทำกายภาพให้น้อง โดยนวดขาหลังช่วยทุกวัน ซึ่งก็อาจจะทำให้น้องกลับมาเดินได้ แต่ไม่ดีเหมือนเดิม นอกจากนี้สัตวแพทย์ยังสอนการนวดบีบท้องน้อยเพื่อช่วยให้น้องปัสสาวะออกมาได้ ไม่ให้มีปัสสาวะคั่งค้างก่อให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
Advertisement
Advertisement
แม่ทำทุกอย่างที่สัตวแพทย์แนะนำ 2สัปดาห์ผ่านไป แววตาน้องเริ่มมีความซุกซน ขาหลังของสตางค์ยังลากไปกับพื้นขณะเดิน น้องพยายามจะวิ่งอยู่หลายครั้ง แต่ก็วิ่งทั้งๆที่ขาหลังยังลาก แม่เลยประกอบรถล้อเลื่อนตามวิธีในยูทูปหวังช่วยพยุงตัวน้อง ไม่ทำให้ขาหลังลากจนเกิดแผลถลอก แต่ไม่เป็นผล เพราะน้องไม่ยอมเดิน แต่กลับพยายามวิ่งหลังลองเอารถล้อเลื่อนนั้นออก แม่จึงหาวิธีใหม่ สตางค์ชอบกินขนม โดยเฉพาะปลาเส้นทาโร่ แม่ทดลองวางปลาเส้นทาโร่ตามพื้นเป็นระยะ เริ่มจากห่างกัน 30เซนติเมตร จากนั้นจึงเพิ่มระยะทางให้ยาวขึ้น ปรากฏว่าสตางค์ก็พยายามเดิน น้องยืดตัวใช้ขาหลังยันพื้น วิธีนี้ดูได้ผล แม่จึงเล่นอย่างนี้กับน้องทุกวัน ได้เห็นพัฒนาการขาหลังของน้องดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วลองพาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะที่มีพื้นหญ้านุ่มๆ สตางค์ดูสดชื่นขึ้นมากที่สำคัญขาหลังมีแรงยัน และพยายามตะกรุยหญ้า
วันเวลาผ่านไปเกือบ 3เดือน สตางค์กลับมาเดินได้ แต่เวลาวิ่งก็จะมีทิศทางที่เอนเอียงไปบ้าง บางครั้งก็ล้มลง ทุกครั้งที่น้องล้ม น้องก็จะลุกขึ้นมาใหม่ ยืนนิ่งๆสักพัก แล้ววิ่งเล่นต่อ จนปัจจุบันนี้น้องแข็งแรงขึ้นมาก ตัวก็อ้วนกลมขึ้นด้วย
แม่พูดว่า " สตางค์ทำให้ครอบครัวเรารู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราพยายาม"
ภาพทั้งหมดในบทความนี้เป็นภาพของน้องสตางค์ ติดตามเรื่องราวดีๆได้ในบทความหน้านะคะ
I am Salee.
ความคิดเห็น