อื่นๆ
เพื่อนรัก เพื่อนสนิท เพื่อนหลังความตาย

เรื่องราวทั้งหมดที่กำลังถ่ายทอดสู่บทความนี้ เกิดขึ้นจริงเมื่อปีพ.ศ.2529 เป็นเรื่องของข้าพเจ้า ซึ่งมีชื่อเล่นว่า เล็ก และเพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นเพื่อนที่ตัวข้าพเจ้าได้มารู้จักหลังจากที่ได้มีการย้ายโรงเรียนมาเรียนที่ใหม่ ก่อนหน้านั้นตัวข้าพเจ้าได้เข้าเรียนชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 ที่โรงเรียนอนุบาลวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ และเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทางคุณพ่อเลยได้แจ้งย้ายออกกับทางโรงเรียน
เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่นี้ค่อนข้างแพง และฐานะทางบ้านตอนนั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ไม่ดี คุณพ่อได้พาตัวข้าพเจ้าไปเรียนต่อที่โรงเรียนวัดประตูน้ำท่าไข่ เข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 วันแรกที่ไปโรงเรียนตัวข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมแบบนี้เลย อาทิ เพื่อนร่วมห้อง สิ่งแวดล้อมรอบๆตัว มันต่างกันมากๆ
Advertisement
Advertisement
และในวันนั้นคุณครูได้พาข้าพเจ้ามาแนะนำหน้าห้องเพื่อให้เพื่อนในห้องเรียนได้รู้จัก รู้สึกเพื่อนๆในห้องเรียนให้ความสนใจในตัวข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก ตลอดจนคุณครูห้องอื่นๆ เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าโรงเรียนเดิมของตัวข้าพเจ้าค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในหลายๆด้านนั้นเอง ทางคุณครูจึงเล็งเห็นว่านักเรียนคนนี้จะต้องมีศักยภาพแน่นอน จึงทำให้ตัวข้าพเจ้ากลายเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงของทางโรงเรียนไปในตัว ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักตัวข้าพเจ้าเลย และในห้องเรียนนี้เอง
ข้าพเจ้าได้รู้จักเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อเล่นว่า บี บีเป็นคนรูปร่างผอมๆผิวสองสี ผมหยิกทั้งหัวแต่นิสัยดีแถมบ้านบีเอง ก็อยู่เส้นทางเดียวกับตัวข้าพเจ้าแต่บ้านบีจะถึงก่อน ซึ่งระยะทางห่างกันไม่มากเดินไปหาได้สะดวก บีมักจะมาขอหนังสือธรรมะที่บ้านข้าพเจ้าไปอ่านอยู่เสมอๆ เช่น โลกทิพย์ โลกลี้ลับ ญาณวิเศษจากอดีตชาติ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าชอบซื้อมาอ่านเองเป็นประจำ และอีกอย่างบ้างครั้งหลังเลิกเรียนบี และเพื่อนๆที่สนิทกันจะมาขอตีแบตที่หน้าบ้านของขัาพเจ้า จึงทำให้เราสนิทกันเร็วมากขึ้นนั้นเอง และเป็นที่ปรึกษาเรื่องส่วนตัวให้กับบีไปในตัว
Advertisement
Advertisement
เพราะโดยพื้นฐานครอบครัวของทางบ้านบีนั้น ไม่ค่อยมีความสุขพ่อแม่มักจะทะเลาะกันบ่อย มีพูดจาด่ากัน ส่วนแม่ของบีก็ชอบดื่มเหล้าเป็นจำทุกวัน แต่บีเป็นคนที่จิตใจเขัมแข็งมาก ข้าพเจ้ากับบีจึงถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆคนหนึ่งเลย หลังจากที่ตัวข้าพเจ้าได้เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้จนใกล้สำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 6 จึงได้วางแผนไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 เป็นโรงเรียนของรัฐบาลแห่งหนึ่งแต่อยู่นอกตัวเมืองไกลออกไป แต่ส่วนตัวบีนั้นได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนดัดดรุณี เป็นโรงเรียนหญิงล้วนนั้นเอง
ตั้งแต่ที่ตัวข้าพเจ้าและบีได้แยกย้ายกันไปศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมแต่ความเป็นเพื่อนก็ยังสนิทเหมือนเดิม บีมักจะมาระบายให้ข้าพเจ้าฟังอยู่บ่อยครั้งว่า เวลาที่อาจารย์ให้งานกลุ่มนั้น บีมักจะไม่มีกลุ่มเข้าเหมือนเพื่อนๆรังเกียจ แต่ก็ยังโชคดีอยู่หน่อยที่มีเพื่อนเก่าที่ตามไปเรียนโรงเรียนเดียวกัน และอยู่ห้องเดียวกับบีได้ดึงบีเข้ากลุ่ม
Advertisement
Advertisement
และหลังจากนั้นที่บ้านของข้าพเจ้ามีแผนว่าจะย้ายบ้านใหม่ ไปเช่าอยู่แถวถนนศรีโสธรตัดใหม่ ข้าพเจ้าได้บอกให้บีทราบ บีก็คงรู้สึกใจหายเช่นกันเพราะคงไปมาหาสู่กันลำบากขึ้น ซึ่งในวันย้ายของบีก็ได้มาช่วยขนของที่ต้นทางด้วย แต่หลังจากย้ายบ้านไปแล้วบีกับตัวข้าพเจ้าก็ยังติดต่อกันประจำเหมือนเดิม ความเป็นเพื่อนไม่เคยเปลี่ยน และหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตัวข้าพเจ้าไปศึกษาต่อในสายอาชีพ ระดับชั้นปวช.
แต่ตัวของบีหลังจากจบม.3 ก็ไม่ได้ศึกษาต่อ แต่ได้ไปสมัครทำงานในห้างประจำจังหวัด ในขณะใช้ชีวิตวัยทำงานนั้นเอง บีได้ไปรู้จักผู้ชายคนหนึ่งเข้า แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ทำงานในห้าง แต่เป็นพ่อค้านักเล่นพระคือปล่อยให้คนเช่าพระ มีแผงเช่าอยู่ในตลาด ซึ่งเป็นเส้นทางที่บีต้องเดินไปทำงานทุกวัน ถึงได้เจอกันได้คุยไปคุยมาจึงมีการจีบกัน
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นผู้ชายคนนี้มีเมียมีลูกแล้ว โดยผู้ชายไม่เคยบอกให้บีได้รู้มาก่อน จนบีและผู้ชายคนนั้นคบกันไปจนเกิดได้เสียกันขึ้นมานั้นแหละ บีถึงได้มารู้ความจริงทั้งหมดเพราะฝ่ายชายได้เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว โดยเหตุการณ์บังคับเพราะฝ่ายชายไม่สามารถจะแต่งงานออกหน้าออกตาได้อีก กลัวเมียที่บ้านจะรู้เรื่องจึงต้องคบกับบีแบบหลบๆซ่อนๆ โดยเป็นแค่การรับรู้ของทางญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะแค่ผูกข้อไม้ข้อมือเท่านั้น
ช่วงเวลาที่บีได้คบหากับผู้ชายคนนี้นั้น ตัวข้าพเจ้าขณะนั้นอายุประมาณ 21-22 ปี ซึ่งเรียนอยู่่ระดับชั้นปวส.แล้ว แต่ก็ยังติดต่อกับบีมาตลอด และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตัวข้าพเจ้าได้เจอกับบี แต่บีดูเปลี่ยนไปมากคือร่างกายที่ดูผอม และผิวพรรณที่ดูไม่ปกติ ข้าพเจ้าจึงได้ทักเขาในสิ่งที่เห็นขณะนั้น และได้แนะนำให้บีไปตรวจเลือดดู เพราะข้าพเจ้ากำลังสงสัยว่าเพื่อนของข้าพเจ้าน่าจะติดเชื้อเอชไอวี เพราะอาการที่แสดงออกภายนอกมันเด่นชัดมากว่าจะมีแนวโน้มเป็นโรคนี้แน่นอน
ซึ่งตัวข้าพเจ้าก็ได้พูดปลอบบีไปว่าไปตรวจดู แต่ถ้าผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อก็ไม่ต้องคิดมาก หาทางรักษาดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลังจากนั้นผ่านไป 1 วัน บีได้มาหาข้าพเจ้าบอกว่าผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อเอชไอวี ข้าพเจ้าเลยบอกว่าไม่ต้องคิดมากนะ มีไรไม่สบายใจมาหามาคุยได้เสมอ และได้ถามบีว่าติดเชื้อนี้มาได้งัย แล้วแฟนรู้ไหมว่าติดเชื้อ บีบอกว่าผู้ชายคนนั้นชอบเที่ยวผู้หญิงและไม่เคยสวมถุงยางอนามัยเลย และบีก็ติดเชื้อมาจากเขา
ส่วนตัวผู้ชายนั้นเขาไม่กล้าไปตรวจกลัว และที่สำคัญเมียหลวงได้ติดเชื้อไปด้วย และเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ก็คิดมากจนโรคต่างๆเขาแทรกภูมิต้านทานลดลงจนถึงแก่ความตายในที่สุด ส่วนตัวบีเองช่วงนั้นต้องเริ่มใส่เสื้อแขนยาวเพื่อปกปิดเม็ดที่ขึ้นตามผิวหนัง ถ้าเม็ดนั้นหายก็จะทิ้งรอยดำๆไว้
ส่วนในช่วงนั้นข้าพเจ้ากำลังใกล้จะสอบประจำภาคเรียนที่ 2 ชั้นปวส. จึงได้แวะไปเยี่ยมบีที่บ้านและวันนั้นเป็นวันเกิดของบี ข้าพเจ้าจำได้ว่าได้หาซื้อของขวัญไปให้บีด้วย ซึ่งมันเป็นตุ๊กตาจีนพระสังกัจจายน์องค์ไม่ใหญ่มากนัก แต่เมื่อไปถึงบ้านบี ข้าพเจ้าเห็นสภาพของเพื่อนแล้วสงสารมาก แม่บีต้องพยุงบีออกจากห้องน้ำเพราะเขาไม่มีแรงพอที่จะช่วยเหลือตัวเอง แล้วบีได้พูดกับข้าพเจ้าว่า " เราคงอยู่ถึงวันเกิดเล็กไม่ได้แล้ว"
เมื่อได้ยินแบบนั้นข้าพเจ้าจึงพูดออกไปว่า อย่าพูดแบบนั้นต้องอยู่ถึงซิ และหลังจากวันนั้นตัวข้าพเจ้ายุ่งอยู่กับการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ และกำลังสอบในบ้างวิชาอยู่ จึงไม่ได้ไปเยี่ยมเพื่อนอีกเลย ซึ่งช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปหาเขานั้น บีได้เสียชีวิตไปแล้วโดยข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเลย
และเย็นวันหนึ่งมีพี่ชายบีมาตามหาบ้านข้าพเจ้า แต่หาไม่เจอ เพราะที่บ้านบีนั้นไม่เคยรู้จะจักบ้านข้าพเจ้าไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน ข้าพเจ้าลืมบอกไปว่าช่วงที่เรียนอยู่นั้น ตัวข้าพเจ้าได้ไปมาที่ศาลเจ้าแม่กวนอิมแห่งหนึ่งในฉะเชิงเทรา คือไปเป็นพี่เลี้ยงช่วยงานศาลเจ้า และพี่ชายบีเองก็เคยขับรถมาส่งแก๊สที่นี้ ทำให้พี่ชายบีนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเจอกับข้าพเจ้าที่ศาลเจ้า เขาจึงขับรถมาหาที่ศาลเจ้าและเจอตัวข้าพเจ้าพอดี
พี่ชายบีบอกว่า บีเสียแล้วคืนนี้สวดคืนสุดท้ายข้าพเจ้าใจหายมาก หลังจากทราบข่าวการตาย ข้าพเจ้ารีบโทรหาเพื่อนสนิทให้ขับรถมอเตอร์ไซด์ไปเป็นเพื่อนกันคืนนี้ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าบีคงดลจิตใจให้พี่ชายตัวเองหาข้าพเจ้าให้พบ หลังจากแต่งตัวเสร็จข้าพเจ้าได้เดินทางไปงานศพบีสงสารเขา ในงานแทบจะไม่มีใครมาเลยนอกจากสนิทกันจริงๆ เพราะสมัยนั้นใครๆก็รังเกียจคนเป็นโรคนี้จึงไม่ค่อยมีใครมาร่วมงานเลยในงานไม่ถึง 20 คนเลย
หลังจากพระสงฆ์สวดเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจึงเข้าไปลาพ่อแม่บีเพื่อขอตัวกลับ และวันพรุ่งนี้จะมาร่วมงานเผาศพ แต่เหตุการณ์ที่ไม่ปกติก็เกิดขึ้น ระหว่างที่ขับรถมอเตอร์ไซด์ออกมาจากวัด เพื่อนเป็นคนขับส่วนตัวข้าพเจ้าซ้อนท้าย ระหว่างทางนั้นเองมีแต่คนข้างทางมองมาที่รถข้าพเจ้าซึ่งมันผิดปกติมาก จนอดสงสัยไม่ได้จึงได้ถามเพื่อนที่ขี่รถว่าเปิดไฟสูงรึป่าว เพื่อนมองว่าป่าว เลยคุยกับเพื่อนไปว่าทำไหมมีแต่คนหันมามองรถของเรามันแปลกอ่ะ
และเมื่อเพื่อนได้มาส่งข้าพเจ้าถึงจุดหมายคือที่ศาลเจ้าแม่กวนอิม คนในศาลเจ้าได้ร้องบอกว่าพี่เล็กไปงานศพมาให้ขึ้นไปเอากิ่งทับทิมจุ่มน้ำมนต์หน้าโต๊ะพระพรมศรีษะด้วย คนโบราณเขาถือ และเมื่อข้าพเจ้าจุ่มกิ่งทับทิมลงในโถน้ำมนต์ แล้วนำมาพรมที่ศีรษะก็ต้องตกตะลึงเพราะกลิ่นต่างๆนั้นลอยออกจากตัวข้าพเจ้าจนสามารถรับรู้ได้ว่ามันมีไอบางอย่างออกมาจากตัว ขณะนั้นทุกคนที่อยูในที่นั้นรวมถึงตัวข้าพเจ้าได้กลิ่นแป้งแรงมากๆ จนทุกบอกว่าบีต้องตามพี่เล็กมาแน่ๆเลย
ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเหตุการณ์ขณะซ้อนท้ายรถเพื่อนกลับมาจากงานศพ ข้าพเจ้ามั่นใจได้แน่นอนว่าบีคงตามมาส่งจริงๆ และในวันรุ่งขึ้นช่วงตอนเย็นข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปงานเผาศพบี แต่ก่อนที่จะออกจากศาลเจ้าไปร่างทรงในศาลได้พูดว่าวันนี้ในงานศพดวงวิญญาณบีจะเข้าสิงร่างพี่เล็กให้ผูกด้ายแดงที่ข้อมือไว้ (คนจีนเรียกว่า อั่งจังเสาะ) เพื่อกันไม่ให้ดวงวิญญาณของบีเข้ามาใช้ร่างได้
เมื่อถึงในงานใกล้เริ่มขบวนแห่ศพขึ้นไว้บนเมรุเผาศพ ข้าพเจ้าสัมผัสถึงอาการที่เกิดขึ้นได้ว่าเหมือนดวงวิญญาณบีจะใช้ร่างข้าพเจ้าแต่ไม่สามารถเข้าได้ เพราะมีเส้นด้ายที่ผูกข้อมือมา และระหว่างนั้นข้าพเจ้าไปคุยกับทางพี่น้องเขาว่าแล้วก่อนที่บีจะเสียเขามีอาการเป็นยังงัยบ้าง ถึงพาตัวนำส่งโรงพยาบาล ญาติๆเล่าว่าบีเริ่มไม่ไหวและตอนอุ้มขึ้นรถตัวเริ่มเกร็ง แต่ตลอดทางที่ไปโรงพยาบาลนั้น บีพูดแต่ว่าเล็กจะพาไปอยู่กับเจ้าแม่กวน เล็กจะพาไปอยู่กับเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งตัวข้าพเจ้าศรัทธาและบูชาเจ้าแม่กวนอิมมาตั้งแต่เด็ก และข้าพเจ้ายังเคยสอนให้บีสวดมนต์บูชาเจ้าแม่กวนอิมด้วยเวลาที่บีมาที่ศาลเจ้า
ซึ่งในขณะที่บีร่างกายเริ่มแย่คงจะนึกถึงข้าพเจ้าและเจ้าแม่กวนอิมเป็นที่พึ่งของเขา และหลังจากงานศพบีไปประมาณวันที่ 3 ข้าพเจ้านอนหลับแล้วฝันไปว่าเจอบี ซึ่งตอนที่พบเจอนั้นภาพรอบๆตัวข้าพเจ้ามันเหมือนแถวบ้านบี และบีแต่งตัวในชุดสีฟ้าคล้ายๆกับเสื้อผ้าทางโรงพยาบาลที่ให้คนไข้ใส่ สีหน้าของบีดูปกติไม่สุขไม่ทุกข์ และขณะนั้นดวงจิตของข้าพเจ้าได้ถามออกไปว่า บีตอนนี้บีอยู่ที่ไหน บีตอบกลับมาว่าบีอยู่สถานกักกังวิญญาณ แล้วข้าพเจ้ายังถามตอบอีกว่า บีเจอพ่อของเล็กไหม บีตอบกลับมาว่าไม่เคยเจอเลย ทำให้ข้าพเจ้าแน่ใจเลยว่าพ่อของข้าพเจ้าคงไปอยู่ที่ดีกว่านี้แน่ๆ (พ่อของข้าพเจ้านั้นได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายปีก่อนหน้าที่ปีจะเสียชีวิต ซึ่งบีเองก็ได้ไปร่วมงานศพในครั้งนั้นด้วย) ก็โต้ตอบระหว่างดวงวิญญาณของบีกับตัวข้าพเจ้านั้น เป็นการคุยผ่านทางจิต เราคิดอะไรออกมา ฝ่ายตรงข้ามก็จะรับรู้แล้วตอบกลับ แต่ถ้าเป็นคนเวลาพูดคุยจะต้องขยับปาก แต่ในโลกวิญญาณไม่ใช่แบบนั้น
การสนทนาเป็นไปสักครู่หนึ่ง แล้วถึงเวลาที่ดวงวิญญาณบีต้องกลับเขาก็หันหลังเดินจากไป ถึงแม้ข้าพเจ้าร้องเรียกชื่อเขาก็ตามเขาก็ไม่หันมาหรือขานรับตอบเลย และเหตุการณ์ต่อมานั้นดวงวิญญาณบีได้มาเข้าฝันอีกเป็นครั้งที่ 2 ในความฝันนั้นเมื่อเจอหน้ากันดวงวิญญาณของบี ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า "เล็กขอตังค์ 3 บาท ซึ่งในขณะข้าพเจ้าลองเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ซึ่งมันมีอยู่ 1 เหรียญ คือเหรียญ 5 บาท จึงได้ยื่นให้กับดวงวิญญาณบี แล้วบอกไปว่าเอาไปเหอะไม่ต้องทอน รับจากดวงวิญญาณบีรับเงินเสร็จก็หายไปจนข้าพเจ้ารู้สึกตัวตื่นซึ่งมันเป็นช่วงเช้ามืดประมาณตี 3-4 ทั้งสองเหตุการณ์เหมือนกันที่ดวงวิญญาณบีจะมาหาช่วงนี้
และเช้าวันนั้นเป็นวันที่ 16 ตุลาคม 2542 ข้าพเจ้าจำได้ดีและจำจำนวนเงินที่บีมาขอได้ จึงลองเสี่ยงโชคดูได้ซื้อหวยใต้ดิน 35 ผลปรากฏว่าเย็นวันนั้นข้าพเจ้าถูกหวยจึงได้ทำบุญไปให้ดวงวิญญาณบี เขาคงตั้งใจมาให้ลาภ แต่เรื่องไม่จบแค่นั้นนะซิครับ เรื่องราวต่างๆของความผูกพันธ์ระหว่างเพื่อนมันกลายเป็นว่าดวงวิญญาณบีอยากให้ตัวข้าพเจ้าไปอยู่กับเขาด้วยในโลกแห่งหลังความตาย
ซึ่งมีอยู่คืนหนึ่งข้าพเจ้าหลับและฝันไปว่าดวงวิญญาณของบีมาเข้าฝัน แล้วชวนข้าพเจ้าไปอยู่ด้วยกัน ซึ่งในขณะดวงจิตของข้าพเจ้ากำลังจะตอบรับว่าไปอยู่ด้วย ด้วยเดชะบุญได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาแว่วๆไกลๆว่า "เล็กตื่น เล็กตื่น" ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตัวคือแม่นั้นเองที่มาปลุกข้าพเจ้า ถ้าหากแม่ไม่มาปลุก แล้วข้าพเจ้าเผลอตอบไปว่าไปอยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้าอาจจะหลับไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็เป็นไปได้ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ไหลตาย"
แต่ความพยายามของดวงวิญญาณบีเพื่อนรักยังไม่ยอมเลิกความตั้งใจที่จะมาหาข้าพเจ้า ซึ่งคราวนี้ดวงวิญญาณบีเล่นแรงมาก เพราะดวงวิญญาณบีได้มาเรียกชื่อข้าพเจ้าจนถึงหน้าบ้าน ซึ่งช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม ทุกคนในบ้านได้ยินเสียงบีมาเรียกข้าพเจ้าชัดเจนมาก ทุกคนจำเสียงบีได้ ขณะที่ได้ยินเสียงนั้นทุกคนในบ้านหันมามองหน้ากันแล้วพูดว่า เสียงไอ้บี และเมื่อได้ยินเสียงนั้นข้าพเจ้ารีบเปิดประตูไปดูแต่พบกับความว่างปล่าว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้นั้นเกิดขึ้นติดต่อกันทุกวัน และกินเวลาประมาณ 1 สัปดาห์และเวลาเดิมทุกครั้ง
ทุกคนในบ้านลงความเห็นว่าดวงวิญญาณบีมันผูกพันธ์กับเล็ก เขาคงจะคิดถึงแต่มันอยู่กันคนละภพแล้ว คงไม่ได้มีเจตนาอย่าให้เพื่อนตายหรอก แต่ด้วยสายใยต่างๆที่ดวงจิตของวิญญาณยังเคยทำสมัยมีชีวิตอยู่นั้นยังตัดหรือปลงไม่ได้ แต่สุดท้ายเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับดวงวิญญาณของบีก็ค่อยๆหายไปและเงียบเป็นปกติ ทุกวันนนี้ตัวข้าพเจ้าเวลาที่ทำบุญหรือสวดมนต์เสร็จมักจะอุทิศบุญและแผ่เมตตาให้เขาตลอด เขาเป็นเพื่อนที่ดีมากๆแต่ไม่น่าอาภัพ
เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้านั้นมันคงไม่ได้บังเอิญน้อยคนนักที่จะสัมผัสเรื่องราวที่มองไม่เห็นได้ คงมีบ้างสิ่งบ้างอย่างต้องการบอกกับข้าพเจ้าว่า วิญญาณมีจริง บาปบุญมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยสั่งสอนไว้ ฉะนั้นชีวิตของคนเราอย่าประมาณ เพราะความตายนั้นเป็นของไม่แน่นอน บุญกุศลที่เกิดจากการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ ขอให้ดวงวิญญาณที่เกี่ยวข้องจนได้รับผลบุญผลกุศลด้วยเทอญ.
ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก www.thehouse.online
ความคิดเห็น
