อื่นๆ

ยิ่งกว่าผีมันคือปีศาจ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ยิ่งกว่าผีมันคือปีศาจ

เสียงหายใจแรงๆฟืดฟาด  ปลุกผมให้สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก  นิ่วหน้าครุ่นคิดและหรี่สายตามองหาที่มาของเสียง

ฟืดดดด!

ครืดดดด!

ผมเกิดอาการขนลุก ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนค่อนข้างหนักแน่น ไม่เคยคิดหรือวิตกกังวลเรื่องของผีสางใดๆ แต่ก็ใช่ว่าไม่กลัวผี    ต้องเรียกว่าผมไม่เคยลบหลู่สิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือพิสูจน์ได้ด้วยตรรกะวิทยาศาสตร์ เสียงนั่นมาจากไหน  ในเมื่อห้องนี้มีผมนอนอยู่เพียงลำพัง ที่นี่เป็นโรงแรมจิ้งหรีดในต่างจังหวัด ถึงแม้ว่าไม่ได้หรูหราอะไรมาก แต่เท่าที่ดูด้วยสายตา  ห้องหับสะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นเหม็นอับ ผมเดินทางรอนแรมมาหลายจังหวัด เคยเข้าพักในโรงแรมที่แย่กว่านี้ก็ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ประหลาดใดๆเกิดขึ้น

เมื่อมองไม่เห็นสาเหตุ ผมก็หลับตาลงพยายามข่มตาให้หลับ และเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ผมก็ผล็อยหลับลงจนได้

Advertisement

Advertisement

“คุณ!”

มีเสียงเรียก  และเขย่าตัว 

ผมลืมตาอย่างยากลำบาก ภาพที่เห็นก็คือ ร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับภรรยาของผมคือ 45 ปี ร่างท้วม ผิวขาว ผมยาว อยู่ในชุดเสื้อกระโปรงแบบพนักงานออฟฟิศ แต่ที่น่าประหลาดก็คือ เสื้อผ้าของเธอเหมือนกับเปรอะเปื้อนอะไรสักอย่าง

“ช่วยฉันด้วย”

ผมกำลังมึนงง  แสบตา  และเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่จู่ๆก็มีผู้หญิงเข้ามาในห้อง

“คุณเป็นใคร?”  ผมถาม

“อย่าเพิ่งถาม  ช่วยฉันด้วย  มีคนจะฆ่าฉัน”

“ใครจะฆ่าคุณ?”

“มันกำลังตามมาค่ะ”

เธอตอบ แต่ก็ทำเอาหัวใจผมกระตุกเต้น สีหน้าตื่นเพริด ผมรีบลุกจากเตียงนอน มองหาอาวุธ ถ้าหากมีคนตามมาฆ่าเธอจริง   อย่าว่าแต่เธอ แม้แต่ตัวผมเองก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในห้องไม่มีอะไรที่พอจะเป็นอาวุธได้เลย ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้น 

Advertisement

Advertisement

ฟืดดดด!

ครืดดดด!

“มันมาแล้วค่ะ!”

สาวใหญ่นิรนามผวาเข้ามาเกาะแขนผม  

“นั่นมันเสียงอะไรน่ะ?” 

ผมหลุดปากถาม พยายามตั้งสติ แต่ดูเหมือนว่าสติของผมได้หลุดหายไปตั้งแต่ได้ยินเสียงประหลาดข้างนอก ผมไม่ได้กลัวผี  แต่กลัวคนมากกว่า คนมีอันตรายมากกว่าผีหลายเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากเป็นคนร้ายด้วยแล้ว ลำพังแค่ปกป้องตัวเองยังเป็นเรื่องยาก ทว่า ผมไม่มีทางเลือกอยู่ดี ในยามนี้ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ผมก็ต้องสู้เพื่อปกป้องตัวเองและปกป้องชีวิตของสาวใหญ่นิรนาม ในที่สุด ประตูด้านนอกก็มีเสียงเคาะ สาวใหญ่นิรนามผวาเข้าเกาะแขนผม อาการหวาดกลัวของเธอทำเอาผมแทบไม่สามารถเรียกสติสัมปชัญญะกลับคืนมา 

“ออกมา  ออกมานังตัวดี!”

คุณพระช่วย! เสียงที่ได้ยินจากข้างนอกนั้น เหมือนเป็นเสียงซ้อนกันของผู้ชายมากกว่าหนึ่งคน เป็นเสียงกึกก้อง ผมขนลุกซู่อย่างไม่มีเหตุผล

Advertisement

Advertisement

“เขาเป็นใคร?”

ผมกลั้นใจถาม

เธอสั่นหน้า

“ฉันไม่รู้”

ในขณะที่เสียงข้างนอกทำลายความเชื่อมั่นของผมให้ลดน้อยลงจนกระทั่งไม่เหลือเลย เพราะขณะนี้ประตูกำลังสั่นคลอนพร้อมๆกับเสียงขู่คำรามกึกก้อง

“ออกมาเดี๋ยวนี้นังตัวดี!”

ฟืดดดด!

ครืดดดด!

มันมีทั้งเสียงคำรามกู่ก้อง เสียงเหมือนกับคนถอนหายใจฟืดฟาดดังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และประตูห้องก็เริ่มโยกคลอนจนดูเหมือนกับว่าอีกไม่นานคงต้องพังลง

เวลานี้เหงื่อกาฬผุดพรายขึ้นมาเต็มใบหน้าของผม หัวใจนั้นไม่ต้องพูดถึง มันเต้นกระดอนแทบจะหลุดออกมานอกอกอยู่รอมร่อ

สาวใหญ่นิรนามถึงกับกอดร่างของผมเอาไว้แน่น เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เห็นทีผมคงเอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่แล้วกระมัง

และแล้ว ประตูห้องก็ถูกโยกจนหลุดเสียงดังโครม!

“ว้ายยย!”

สาวใหญ่ร้องเสียงหลง กอดร่างของผมแน่น ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ถูก แต่ในความกลัวที่สุด กลับทำให้ผมพร้อมที่จะสู้ขึ้นมา  ลักษณะเหมือนหมาจนตรอก ดังนั้นผมไม่ได้หลับตาปี๋เหมือนสาวใหญ่นิรนาม สายตาผมจ้องเขม็งที่ประตูห้องคอยดูว่าจะมีใครพรวดพราดเข้ามา แต่... พลันที่ประตูหลุดเปิดออก ไม่มีใครพรวดพราดเข้ามาแต่อย่างใด ไม่มีเสียงหายใจฟืดฟาด ไม่มีอะไรทั้งนั้น บรรยากาศยังจมอยู่ในความสงบเงียบเช่นเดิม หรือว่าเป็นเพียงอุปาทานหรือคิดไปเองทั้งสิ้น แต่ประตูห้องได้หลุดออกมาจริงจากแรงกระแทกของคนข้างนอก

ขณะที่ผมกำลังสงสัยอยู่นั้น จู่ๆผมก็รู้สึกว่า ผู้หญิงที่กอดร่างผมเอาไว้นั้นมีอาการตัวแข็งทื่อ ผมละสายตาจากประตูห้อง มองร่างของผู้หญิงนิรนาม ก่อนจะเกิดอาการสะดุ้งสุดตัว อย่างแรกที่ผมเห็นก็คือ เส้นผมของเธอไม่ใช่สีดำ แต่มันกลายเป็นสีขาวโพลนไปทั้งหัว ผิวหนังของเธอก็เหี่ยวย่นราวกับผิวของหญิงชรา

“อะไรกันเนี่ย?”

ผมหลุดปากเสียงดัง แล้วสลัดสุดแรงจนร่างของเธอหลุดออกจากร่างของผม และบัดดลนั้นผมก็ได้เห็นใบหน้าของหญิงนิรนามเต็มสองตา

ม่านตาของผมถึงกับเบิ่งกว้าง ใบหน้าของเธอเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยริ้วรอยของความชราราวกับคนอายุเกินร้อยปี และท่าทางของเธอก็ไม่ได้อยู่ในอาการหวาดกลัว ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นใบหน้าที่กำลังส่งเสียงหัวเราะเบิกบาน

“ฮิๆๆๆๆ!”

ผมถอยหลังกรูดจนล้มหงายหลังลงบนเตียงนอน ในขณะที่นอนหงายบนเตียง สายตาก็มองไปบนฝ้าเพดาน หัวใจของผมก็แทบหยุดเต้น 

อะไรกันนั่น!?

บนเพดานมีร่างของใครคนหนึ่งเหมือนถูกจับแปะไว้บนฝ้า แต่ไม่ใช่ เพราะร่างนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้เอง 

คุณพระช่วย!  มันสามารถไต่ไปตามเพดานได้ราวกับตุ๊กแก! 

ใบหน้าที่ค่อยๆเอี้ยวมองลงมายังผมนั้น เป็นไปในลักษณะเหมือนไม่มีกระดูกคอ เพราะหมุนได้ 180 องศา เป็นใบหน้าของผู้ชายน่าเกลียดน่ากลัว เพราะทุกอวัยวะบนใบหน้าผิดรูปไปหมด ไม่ว่าจะเป็นจมูกที่บานจนมองเห็นรูชัดเจน ริมฝีปากหนาผิดมนุษย์  ดวงตาเบิกถลนหลุดออกมาจากเบ้าทั้งสองข้าง

“ฟืดดดด!  ฟาดดดดด!”

เสียงที่เล็ดลอดออกมา ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า เสียงที่ได้ยินแต่แรกนั้นแท้จริงก็มาจากไอ้ตัวนี้เอง

“ฮิๆๆๆๆ!”

เสียงหัวเราะน่าเกลียดน่ากลัวของผู้หญิง

ผมมีอาการเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกาย แต่ประสาทสัมผัสทุกส่วนรับรู้ได้ทั้งหมดว่า บรรยากาศรอบกายขณะนี้ไม่ต่างอะไรกับการหลุดไปอยู่ในขุมนรก 

ความรู้สึกของผมเวลานี้  หากจะเรียกว่ากลัวก็ดูน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ  อยากร้องออกมาให้สุดเสียง  แต่กลับไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก   ผมสั่นสะท้านทั่วสรรพางค์  พยายามผงกหัวเพื่อพับร่างลุกจากเตียง  ก็ยังไม่เป็นผล

ทันใดนั้น  ไอ้ตัวที่ไต่อยู่บนฝ้าก็ปล่อยมือ  ทิ้งร่างลงมาทาบทับบนตัวของผม 

“ช่วยด้วย!”

อาจเป็นเพราะเสียงร้องของตัวเอง  ทำให้ผมหลุดจากภวังค์  สะดุ้งตื่นและกวาดสายตามองไปรอบๆห้องอย่างงงๆ

“ฝันไป  แค่ฝันหรือเนี่ย?”

ผมพึมพำกับตัวเอง  นึกเห็นภาพปีศาจในความฝันแล้วก็ให้เกิดอาการขนลุกซู่ขึ้นมาอีก  ยกข้อมือมองเวลา  เพิ่งจะตีสอง  อีกตั้งนานกว่าฟ้าจะสาง 

ผมทิ้งร่างนอนลงบนเตียงอีกครั้ง  พยายามนึกทบทวนบทสวดมนต์ แต่ก็นึกอะไรไม่ออก 

กริ๊ง...กริ๊ง!

ผมสะดุ้ง  เสียงนั้นดังมาจากมือถือเครื่องเก่าของผม  มันเป็นโทรศัพท์รุ่นเก๋ากึ้ก  ไม่มีฟังค์ชั่นเสริมใดๆ  แค่โทร.ออกกับรับสายและส่งข้อความได้เท่านั้น  ผมเอื้อมมือไปหยิบ  มองหน้าจอ  ไม่ใช่เบอร์คนคุ้นเคยจึงปล่อยให้เสียงหยุดไปเอง 

ผมจะนอนหลับต่อได้อย่างไร  และคงไม่ใช่เวลาที่สมควรเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมด้วย   รอให้ถึงพรุ่งนี้จะดีที่สุด  ผมนอนคิดถึงการค้าของตัวเอง   นับวันการวิ่งเร่ขายสินค้าตามตลาดนัด  ต้องเจอกับคู่แข่งมากขึ้นทุกวัน   ผมโชคดีที่ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องค่างวดรถ  อีแก่ยังสามารถใช้การได้ดี  แต่ก็นั่นแหละ  บางเดือนถึงขั้นหมดตูด  ถ้าหากจำเป็นต้องซ่อมรถ  ไหนจะหาซื้อสินค้าให้เต็มคันรถ  ผมเดินทางไกลคนเดียว ไม่เคยคิดจะหาลูกน้อง เพราะรายได้ยังไม่มากขนาดนั้น 

ปกติถ้าไม่เหนื่อยจนเกินไป  ผมมักอาศัยหลับนอนบนรถ  เว้นแต่ช่วงที่เหนื่อยมาก  จึงแวะพักตามโรงแรมเพื่อจะได้นอนหลับให้เต็มตา   แต่ถ้ามาเจอสถานการณ์นอนไม่หลับอย่างคืนนี้  คงไม่ใช่เรื่องดีเลย

ขณะกำลังนอนคิดเพลินๆ  ผมมีอันต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง 

ฟืดดดด!

ครืดดดด!

เสียงนั่น  เหมือนที่ได้ยินในความฝัน    ผมรีบพับร่างลุกนั่ง  และในฉับพลันนั้นไฟในห้องก็ดับวูบพร้อมๆกับได้ยินเสียงเขย่าประตูหน้าห้อง

อะไรกันเนี่ย?!

จากฝันจะกลายเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?  หัวใจของผมเต้นรัวเหมือนกำลังจะกระดอนออกมานอกอก  เบิ่งตากว้าง  เหงื่อผุดพราวขึ้นมาเต็มร่าง  แม้ว่าอากาศค่อนข้างเย็นก็ตาม

ผมจะทำอย่างไรดี?   ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้  เพราะขนาดว่ามีเสียงกระแทกประตูดังโครมครามถึงเพียงนี้  ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ของโรงแรมมาดูเหตุการณ์  แสดงว่าที่นี่มีอะไรผิดปกติเป็นแน่

ก่อนที่ผมจะได้คำตอบ ประตูหน้าห้องถูกเขย่าจะเปิดออกมาจริงๆ  ใช่  มันเป็นเรื่องจริง  ไม่ได้อยู่ในความฝัน

สายลมกระโชกวูบผ่านช่องประตู 

ผมสะท้านเฮือก พร้อมกับม่านตาขยายกว้างอีกครั้งเมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนจังก้าอยู่ด้านนอก   และเขาคนนั้นได้ก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างเตียงที่ผมยังอยู่ในท่าลุกนั่งเตรียมเผ่น 

คุณพระช่วยด้วยเถอะ ทำไมคนที่มายืนข้างเตียงจึงมีใบหน้าเหมือนผมราวกับพิมพ์เดียวกัน  ไม่เพียงแค่นั้น  แม้รูปร่างสีผิวรวมทั้งเสื้อผ้าก็คือตัวผมนั่นเอง

เขาเป็นใคร?

“ข้าก็คือเอ็งนั่นแหละ”

ชายคนนั้นพูดราวกับได้ยินความคิดของผม ไม่ได้แค่พูดเปล่า ยังมีเสียงลมหายใจฟืดฟาดแบบคนกำลังอยู่ในอาการโกรธ

ไม่จริง

“จริง ข้าคือเอ็ง เอ็งคือข้า เราเป็นคนคนเดียวกัน”

ผมสับสน  มึนงงไปหมด  เพราะชายคนนั้นไม่เหมือนแค่รูปร่างหน้าตา  แม้กระทั่งเสียงก็เป็นเสียงโทนเดียวกับผม

“ฮิๆๆๆ!”

เสียงหัวเราะน่าเกลียดแทรกขึ้นมา  ผมเหลียวหาที่มาของเสียง  กลับพบว่า  ผู้หญิงหน้าตาเหี่ยวย่นคนนั้นไปเกาะอยู่บนฝ้าเพดานตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

ผมเบิกตาจ้องมองให้ชัดๆอีกครั้ง  คราวนี้เริ่มจำได้   ผมจำได้แล้วว่าเธอคือใคร  เธอคือภรรยาของผมนั่นเอง 

องคาพยพของผมสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่บีบคั้นจนเขม็งเกลียว  วินาทีนั้น  ความอดกลั้นของผมก็ขาดผึง  ผมหลับตาปิดหูกู่ก้องออกมาสุดเสียง!

ตำรวจตามมาควบคุมตัวผมนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในเวลาถัดจากนั้น  ข้อหาฆาตกรรมภรรยาของตัวเองโดยไตร่ตรองเอาไว้ก่อน

ผมยอมรับตลอดข้อกล่าวหา  โดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ  เพราะผมรู้แล้วว่า ต่อให้ตายก็ไม่มีวันหนีความผิดที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์