อื่นๆ

ต้นมะพร้าวต้นนั้น ตอนที่ 2

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ต้นมะพร้าวต้นนั้น ตอนที่ 2

ความเดิมจากตอนที่แล้ว... ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสามสิบปีก่อน ดิฉันในวัยเด็กได้เจอผีเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งสร้างความฉงน สับสน สงสัยให้แก่สติปัญญาอันน้อยนิดของเด็กน้อยตจว. ผู้มีโทรทัศน์เป็นแหล่งข้อมูลอันสำคัญที่สุด ในการค้นคว้าเรื่องผี  การเจอผีในครั้งนั้นนับว่าเป็นการเจอผีที่น่ากลัวที่สุด เพราะเป็นการเจอผีในบ้านของตัวเอง  และไม่รู้วัตถุประสงค์ในการมาของเขา ไม่รู้ว่าเขาจะทำร้ายเราหรือคนในครอบครัวเรารึเปล่า  อีกทั้งยังเป็นการเจอผีในที่ๆ ไม่ชอบมากๆ ซึ่งก็คือบริเวณอ่างล้างจาน ที่ตั้งอยู่ริมครัวนอกบ้าน ติดกับสวนป่าอันมืดมิดไร้แสงไฟใดๆ ในยามค่ำคืน   จริงๆ ต่อให้ไม่เจอผีแค่เฉพาะบรรยากาศอย่างเดียวก็ไม่น่ารื่นรมย์แล้ว สิ่งที่ทำใจทุกข์ทรมาณใจยิ่งกว่า คือการที่ยังต้องกลับไป ยืน นั่ง ล้างจาน ณ ที่ตรงนั้น แทบทุกวัน แต่เพียงลำพัง...

Advertisement

Advertisement

และแล้วสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น.... ใครจะไปคิดว่า การเจอผีครั้งที่สอง จะเจอผีแบบเดิมเดี๊ยะๆ โดยที่เราไม่ได้เฉลียวใจเลย...

ในวันนั้น... ห่างจากวันที่เจอผีครั้งแรก ไปพอสมควร คุณยายและแม่ เลิกมาอยู่เป็นเพื่อนในเวลาล้างจานแล้ว และความกลัวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว  ดิฉันจึงได้กลับมายืนล้างจานคนเดียวตามปกติ  ซึ่งในวันนั้นจานชามไม่ได้มีมากมายเท่าทุกๆวัน  ดิฉันจึงได้เดินมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ แกว่งไกวชิงช้าเหล็กตัวโปรด หลังจากเสร็จภาระกิจในการล้างจานชาม  ดิฉันนั่งชมก้อนเมฆ ดวงจันทร์ บนท้องฟ้าอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะกวาดสายตาลงมาหยุดที่ตรงอ่างล้างจานอะลูมิเนียม และโอ่งแดงที่คุณยายใช้เก็บน้ำฝน จากหลังคาห้องครัว...

ใช่ค่ะ... ผ้าผืนนั้นอีกแล้ว... ผ้าผืนนั้นกลับมาอีกแล้ว และ เธอก็ยืนอยู่ที่จุดเดิม  ด้วยการปรากฏกายแบบเดิม ใบหน้าที่ไร้ซึ่งมิติ มืดมิดปราศจากสีสันใดๆ พร้อมผมทรงฟาร่าที่กระจายตัวแผ่ความมืดมิดออกมา ตัดกับแสงไฟสีเหลืองเข้มจากหลอดไส้ดวงน้อย ที่ส่องกระทบต้นมะพร้าวที่เบื้องหลังเธอ...

Advertisement

Advertisement

"หือ...เจออีกละ ใช่แน่ๆ เหมือนเดิมทุกอย่างเลย" ดิฉันสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างรวดเร็ว  ไร้เสียงหมาหอน ไร้เสียงลม เสียงใบไม้ไหว บรรยากาศเงียบเชียบ บริวารที่เลี้ยงไว้นับสิบตัว ก็ไม่ปรากฏว่ามีตัวไหนโผล่มาเฝ้า มาอยู่เป็นเพื่อนเหมือนทุกๆวัน แต่ในครั้งนี้ทุกอย่างในใจดิฉันเปลี่ยนไป เพราะในวันนี้ดิฉันมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เจอตรงหน้าคืออะไร ความกลัวจึงชนะความฉงนสงสัยไปอย่างขาดลอย

"เอายังไงดี" แม้สมองก้อนน้อยๆ จะกลัวจนเบลอ แต่ดิฉันก็ยังคงพยายามปรึกษาหาคำตอบให้ตัวเอง มาคราวนี้ดูเหมือนร่างกายจะแข็งเกร็งผิดธรรมชาติไปหมด ผิดกับคราวก่อนเมื่อครั้งยังเต็มไปด้วยความสงสัย ร่างกายจึงเคลื่อนไหวได้ตามสะดวก

"ทำไมต้องเจอผีด้วย น่าโมโหจริงๆ ทำไมคนอื่นไม่เจอบ้าง จะได้รู้ว่าเราพูดเรื่องจริง" ดิฉันเริ่มโมโหผี ที่เลือกมาปรากฏกายให้เด็กน้อยเพ้อเจ้อ คำพูดไร้น้ำหนักอย่างดิฉันเห็นเป็นครั้งที่ 2  "แม่บอกให้ถามหนิ ว่าเขามาทำไม ลองถามดูสิ" ดิฉันทบทวนคำแนะนำที่แม่ให้ "จะถามดีไม๊ ถามทำไม" ดิฉันลังเลใจด้วยความกลัว พร้อมเล็งไปที่ทางเข้าบ้าน ว่าห่างไกลแค่ไหน ระยะทางแค่ไม่กิเมตร แต่ต้องใช้กำลังใจในการก้าวเดินสูงยิ่ง.... "ถามก็ถาม แต่จะถามยังไงอะ พูดในใจเลยใช่ไม๊ ถ้าพูดออกมาก็กลายเป็นเราพูดคนเดียวสิ พูดในใจผีเป็นผีก็ต้องได้ยินสิ"  ดิฉันในวัยเด็กคิดทบทวนไปมา บนชิงช้าที่ยังคงแกว่งไกวเพื่อกลบเกลื่อนความกลัว

Advertisement

Advertisement

"มาทำไมคะ" ดิฉันเพ่งมองไปที่ใบหน้าที่ไร้ดวงตานั้น พร้อมกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก ใจเต้นตึกตัก กลัวคำตอบที่จะได้ยิน

"มาทำไมเหรอคะ" ดิฉันถามซ้ำอีกครั้ง ทั้งที่ใจอยากจะวาร์ปเข้าบ้านจนเต็มแก่ แต่เมื่อแม่บอกให้ถามก็ต้องถาม เพราะดิฉันเป็นเด็กเชื่อฟังคำสอนของผู้ใหญ่

"มาทำไมคะ" ดิฉันถามซ้ำเป็นครั้งที่ 3 เมื่ออีกฝั่งยังคงเงียบ

"ถ้าไม่บอกงั้นเข้าบ้านแล้วนะคะ" ดิฉันพูดในใจอีกครั้ง สายตาจับจ้องที่ใบหน้าดวงนั้น ทุกอย่างยังคงเงียบงัน ไร้เสียงสำเนียงใดๆ  ดิฉันหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกเพื่อข่มใจให้สงบลง นี่คือช่วงเวลาที่ทรมาณใจเป็นที่สุด การลุกขึ้นจากชิงช้า เพื่อก้าวเท้าเข้าบ้านด้วยจังหวะท่าทางที่ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้  ดิฉันก้าวเท้าเข้าบ้านด้วยความมั่นใจ นี่คือผีแน่นอน และการเจอผีไม่ได้เหมือนในละคร ฉันเล่าให้แม่ฟังอีกครั้งว่าเจอผีที่เดิมแบบเดิม  พี่สาวของดิฉันหาว่าดิฉันเพ้อเจ้อ เพราะไม่อยากล้างจาน

ดิฉันจึงได้เล่าให้คุณตาคุณยายฟัง เพราะจากนี้ไปการล้างจานคือความทุกข์สูงสุดในชีวิต มันทุกข์ทรมาณยิ่งกว่าการโดนพี่ๆรุมแกล้งไม่เว้นแต่ละวัน คุณตาจึงแก้ไขปัญหาโดยการเปลี่ยนหลอดไฟฟ้า จากที่เป็นหลอดไส้ดวงเล็กๆสลัวๆ ให้เป็นหลอดนีออนแท่งเพื่อเพิ่มแสงสว่าง และย้ายชิงช้าเหล็กของเล่นชิ้นโปรดของดิฉันให้ไปอยู่หน้าบ้านเสีย เพื่อที่จะได้เผลอไผล เดินไปนั่งเล่นที่ชิงช้าตอนดึกดื่นอีก

เรื่องทุกอย่างเหมือนจะจบลงด้วยดี เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายปี จนกระทั่ง... เช้าวันนั้น ขณะที่ดิฉันนอนอยู่ ก็ได้ยินเสียงดัง ตุบ เหมือนมีสิ่งของขนาดใหญ่ตกลงมาจากที่สูง หลังจากนั้นก็มีเสียงโหวกแหวกมาจากทางห้องครัว ดิฉันจึงงัวเงียตื่นขึ้นมา แล้วเดินออกไปตามต้นเสียง ร่างของน้าสาวของฉันคุกเขากองอยู่ที่พื้น ข้างๆต้นมะพร้าวต้นนั้น น้าสาวของดิฉันปีนต้นมะพร้าวเตี้ยๆต้นนั้นขึ้นไป ด้วยความตั้งใจที่จะดึงกาบมะพร้าวที่แห้งคาต้นลงมา แต่กลายเป็นว่าดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก เมื่อออกแรงดึงก็เหมือนมีแรงผลักให้ตกลงมาจากต้นมะพร้าวนั้น และที่ด้านล่างก็มีตอไม้ขนาดเท่าแขนซึ่งเหลือจากการตัดลำต้นทิ้งไปเมื่อสัปดาห์ก่อน รอรับอยู่... และเสียบเข้าที่ข้างขาหนีบเข้าไปอย่างจัง เมื่อน้าลุกขึ้น เลือดก็ก็ไหลพุ่งออกมาอย่างน่าหวาดกลัว บุญยังพอมี ที่บ้านของเราอยู่ใกล้โรงพยาบาล และเรามีรถกระบะ  พวกเราจึงได้นำตัวน้าไปส่งยังโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว น้าเริ่มหน้าซีดและบ่นหนาว เพราะเสียเลือดมาก เราไปถึงห้องฉุกเฉินและน้าได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน

ดิฉันติดตามไปโรงพยาบาลด้วย และอยู่รอจนกระทั่งน้าสาวออกมาจากห้องผ่าตัด  ดิฉันจึงได้กลับบ้านเพื่อไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น เพื่อไปนอนเฝ้าน้าสาวที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนคุณยาย ในวันนั้นดิฉันได้แต่มองไปที่ต้นมะพร้าวต้นนั้นด้วยความสงสัย ทุกๆคนในบ้านต่างหวนนึกถึงเรื่องราวที่ดิฉันเล่าให้ฟังเมื่อหลายปีก่อน "สงสัยเขาจะไม่พอใจที่น้าสาวของฉันไปปีนต้นมะพร้าวต้นนั้น" น้าชายของฉันพูดติดตลก แต่คุณยายนิ่งเงียบหน้าเสียไม่ตลกด้วย

ฉันอยู่เฝ้าน้าสาวเป็นเพื่อนคุณยายจนกระทั่งน้าออกจากโรงพยาบาล  เมื่อกลับไปก็ได้พบว่า คุณตาได้ตัดต้นมะพร้าวต้นนั้นลงแล้ว และขุดรากถอนโคนตอไม้ตอนั้นไม่ให้เหลือซาก เพื่อที่จะได้ไม่มีใครต้องบาดเจ็บด้วยเหตุการณ์เดียวกันอีก

วันเวลาผ่านไปร่วม 30 ปี สวนป่าข้างบ้านของเรา ถูกแผ้วถางจนหมดสิ้น เพื่อปลูกบ้านของพ่อแม่ของฉัน เหลือไว้เพียงต้นมะม่วง 2 ต้นที่มุมรั้ว และเรื่องราวของเธอได้เลือนหายไปจากความทรงจำของฉัน จนกระทั่ง...น้าสะใภ้ของฉันได้นำต้นปาล์มมาปลูก ณ จุดๆ เดิม ที่ต้นมะพร้าวต้นนั้นเคยอยู่ และในเวลาเพียงไม่นาน ดูเหมือนต้นปาล์มต้นนี้จะเจริญงอกงามสูงใหญ่อย่างรวดเร็วเหลือเกิน พร้อมๆกันนั้น ฉันก็เพิ่งจะคิดได้ว่า อ่างล้างจานของบ้านพ่อแม่ก็หันหน้าไปทางห้องครัวของบ้านคุณตาคุณยาย แม้จะมีกระจกบานเกล็ดกั้น แต่ทุกวันก็ต้องยืนล้างจานประจันหน้ากับต้นปาล์มสูงใหญ่นี่เอง นอกจากนั้นห้องนอนของดิฉันซึ่งอยู่ด้านบนห้องครัวก็อยู่ติดกับห้องครัวนอกบ้านของบ้านคุณตาคุณยาย ต้นปาล์มต้นนั้นก็อยู่ข้างๆห้องนอนของดิฉันนี่เอง... หรือเธอคนนั้นอาจกำลังจะเฝ้ามองดิฉันอยู่ ในค่ำคืนที่ทุกอย่างเงียบสงัด ในวันที่ดิฉันไม่ได้เออะใจ  ในตอนที่ดิฉันยืนล้างจานกองใหญ่ ในเวลาที่ดิฉันทิ้งตัวลงนอนอย่างสบายใจ...

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
อบอุ่น
อบอุ่น
อ่านบทความอื่นจาก อบอุ่น

นัก(พยายาม)เขียน ผู้มีความสุขจากการกิน การเรียน และการทำงาน

ดูโปรไฟล์

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์