อื่นๆ
เรื่องเล่าขานตำนานหมู่บ้าน

ณ หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่ผู้เขียน ย้อนกลับไปราว 40 ปีที่แล้ว เป็นยุคสมัยที่ความเจริญยังย่างกรายไปไม่ถึง ซึ่งเป็นเวลาที่แม่และป้าๆลุงๆของผู้เขียนยังเป็นวัยแรกรุ่น หากจะกล่าวถึงไฟฟ้าคงจะมีอยู่แค่ในเมืองหลวงเท่านั้น ซึ่งชาวบ้านก็ยังคงดำรงชีวิตโดยใช้ ตะเกียงน้ำมันก๊าช คบไฟหรือขี้ไต้กันอยู่ ถ้าบ้านไหนมีฐานะดีหน่อยก็จะใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ส่วนเรื่องน้ำท่าสำหรับอุปโภคบริโภคนั้นก็จะมีแหล่งน้ำตามห้วยหนองคลองบึง และบ่อน้ำใต้ดิน (คนอีสานเรียกว่า ส่าง) ที่ขุดไว้ใช้ในหน้าแล้ง ส่วนถ้าเป็นหน้าฝนก็จะมีโอ่งน้ำบ้านละสี่ห้าโอ่งไว้สำหรับรองรับน้ำฝนเพื่อเก็บไว้ดื่มกิน พอเริ่มมีความเจริญเข้ามาบ้างก็จะมีการขุดน้ำมาดาลโดยใช้คันโยกสูบน้ำขึ้นมาแต่จะเป็นยุคหลังๆมาแล้ว ลักษณะบ้านของคนภาคอีสานสมัยก่อนส่วนใหญ่จะยกใต้ถุนสูงเพราะนอกจากจะสร้างตามหลักของสภาพอากาศแล้วก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากใต้ถุนบ้านได้อีกหลายอย่างทั้งใช้เป็นคอกเลี้ยงวัวควาย ใช้เก็บอุปกรณ์ทำมาหากิน ใช้เป็นที่นอนพักผ่อนยามบ่ายที่อากาศร้อนๆได้ดีเพราะมีความโปร่งโล่งสบาย ส่วนถัดไปก็จะเป็นยุ้งฉางที่สร้างเป็นเรือนหลังเล็กๆปิดมิดชิดยกใต้ถุนเช่นกันสำหรับเป็นที่เก็บผลผลิตทางการเกษตร ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวสาร เหตุที่ต้องสร้างแยกออกจากตัวบ้านไปนั้นเพื่อป้องกันแมลงต่างๆรวมถึงหนูไม่ให้ไปกัดกินจนเสียหาย เพราะข้าวสารที่เก็บเกี่ยวได้ถือเป็นสิ่งที่มีค่ามากต่อการดำรงชีวิต ซึ่งได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายที่ทุ่มเททำนามาตลอดทั้งปี
Advertisement
Advertisement
จากลักษณะของบ้านที่กล่าวมาข้างต้นนั้นนอกจากเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีความเชื่อที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องทางความเชื่อและไสยศาสตร์อีกด้วย เพราะคนอีสานจะมีห้องๆหนึ่งที่ถือเป็นห้องพระหรือคนอีสานเรียกว่าห้องเปิง เป็นห้องที่มีเสาเอกของบ้านอยู่ในห้อง และ เสาเอกก็คือเสาต้นแรกที่ได้ทำพิธีฝังลงหลุม ก่อนจะมีเสาโท และเสาอื่นๆตามมา ซึ่งคนอีสานเชื่อว่าห้องเปิงนี้เป็นห้องที่มีความเป็นสิริมงคล จะถือเป็นห้องที่ใช้เป็นห้องพระ ไว้สำหรับเก็บเครื่องรางของขลังซะเป็นส่วนใหญ่
เรื่องที่เกี่ยวกับตัวบ้านก็ยังมีเรื่องที่เล่าขานกันมาเป็นทอดๆตามความเชื่อของคนโบราณ โดยเล่าว่า ในค่ำคืนดึกสงัดซึ่งเป็นเวลาที่ชาวบ้านในหมู่บ้านดับตะเกียงนอนกันหมดไร้ซึ่งเสียงใดๆนอกจากเสียงของหรีดหริ่งเรไรยามค่ำคืนนั้น หากบ้านใดมีเสียงร้องครวญครางของคนท้องแก่ใกล้คลอด ญาติพี่น้องและสามีของหญิงท้องแก่จะรีบตื่นขึ้นมาช่วยกันตามหมอตำแย ต้มน้ำเพื่อเตรียมการไว้ให้หมอตำแยเตรียมทำคลอด ในสมัยนั้นความเจริญทางการแพทย์มาสู่ชนบทคงไม่ต้องพูดถึง แค่การที่จะเข้าไปในเมืองก็ยังเป็นเรื่องยากลำบากถึงขั้นต้องเดินทางกันเป็นวันๆเลยทีเดียว ที่พึ่งที่ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือหมอตำแยเท่านั้น และหน้าที่หลักของผู้เป็นสามีคือจะต้องไปหาตัดเอาไม้ไผ่มาเหลาให้คม แบนและบาง สำหรับใช้ตัดสายรกสายสะดือ และคอยอยู่ข้างนอกเผื่อหมอตำแยเรียกใช้ รวมถึงญาติๆที่เป็นผู้หญิงก็จะมาช่วยกันดูด้วยอีกแรง ส่วนทางญาติๆที่เป็นผู้ชายก็จะชักชวนกันมาที่บ้านนี้และแบ่งกันเฝ้ายามอยู่ด้านล่างสังเกตความเคลื่อนไหวและความผิดปกติ โดยคนที่มาเฝ้ายามหากเป็นคนที่มีวิชาอาคมบ้างก็จะดี อีกส่วนก็ต้องรีบไปหาตัดเอากิ่งไม้ที่มีหนามชนิดต่างๆมากองไว้ตามใต้ถุนบ้าน ตามรั้วบ้าน และวางตามจุดต่างๆที่คิดว่าอาจจะมีสิ่งที่มองไม่เห็นคอยสังเกตและหาจังหวะเข้ามากินเลือด มาทำร้าย เข้าสิงแม่และเด็กเพื่อเข้าไปกินตับไตไส้พุง เพราะเชื่อว่าเด็กเกิดใหม่เป็นที่โปรดปราณยิ่งนักของผีร้าย ซึ่งกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นน้ำคร่ำนั้นถือเป็นสิ่งล่อใจให้พวก ผีปอบ ผีเป้า ผีกระสือ อย่างดีเลยทีเดียว เมื่อเวลาผ่านไปซักพักจนเด็กคลอด ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก หมอตำแยก็จะนำรกมาใส่ลงในไหเพื่อให้พ่อเด็กนำไปฝังไว้ใต้บันไดหรือใต้ถุนบ้านเพราะเชื่อว่าเด็กจะได้มีความผูกพัน รักบ้านเกิดของตนเองถือเป็นการปลูกฝังจิตวิญญาณของเด็กให้มีความสำนึกรักในแผ่นดินเกิดของตนไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม เมื่อทำพิธีฝังรกแล้วก็ต้องเอาหนามแหลมๆมาวางโปะไว้ข้างบนอีกทีเพื่อป้องกันสัตว์หรือสิ่งเร้นลับมาขุดคุ้ยกินตามความเชื่อ และนี่ก็เป็นเรื่องเล่าของคนโบราณที่เล่าสืบต่อและปฏิบัติกันมาถึงความเชื่อมโยงกันของวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติไร้ซึ่งความเจริญ ดำรงชีวิตจากภูมิปัญญาของตนตามแบบวิถีพอเพียงซึ่งมีมานานแล้วนั่นเอง
Advertisement
Advertisement
หมู่บ้านที่แม่เกิดนี้ ขอใช้นามสมมุติว่าหมู่บ้านดอนกอ เพราะปัจจุบันก็ยังมีหมู่บ้านนี้อยู่ หมู่บ้านดอนกอ เป็นหมู่บ้านที่คนเฒ่าคนแก่ในสมัยก่อนนานมาแล้วได้อพยพมาอยู่ และตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่ขึ้น ให้ชื่อว่าบ้านดอนกอ เหตุที่ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่า ชาวบ้านอพยพหนีโรคห่ามาจากหมู่บ้านดอนลอ ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านดอนกอราวๆสองกิโลเมตร ในสมัยโบราณหมู่บ้านดอนลอเป็นป่าที่มีลิงอาศัยอยู่และคนโบราณเห็นว่ามีความอุดมสมบูรณ์จึงได้พากันแพ้วถางสร้างหมู่บ้านและให้ชื่อว่าบ้านดอนลอ และเรื่องก็มีอยู่ว่าในสมัยนั้นโรคห่า (อหิวาตกโรค) ระบาดอย่างหนักทำให้ชาวบ้านบ้านดอนลอ ล้มตายเป็นจำนวนมากเนื่องจากการแพทย์สมัยก่อนยังไม่ก้าวหน้า และหมอยาประจำหมู่บ้านก็ยังไม่มีความรู้เรื่องโรคนี้ จึงได้แต่พากันเชื่อว่าเป็นโรคของผีห่าที่ลงมาล่าเอาวิญญาณมนุษย์เพื่อนำไปเป็นบริวาน เมื่อผู้คนล้มตายกันมากเข้าทำให้ชาวบ้านที่เหลือที่ยังไม่ติดโรคต่างหวาดกลัว ต่อมาจึงได้พากันอพยพย้ายหมู่บ้านหนีโรคร้ายมาตั้งหมู่บ้านใหม่ นั่นก็คือหมู่บ้านดอนกอในปัจจุบันและทิ้งให้หมู่บ้านดอนลอรกร้างกลายเป็นป่าดังเดิม มาถึงตอนนี้แม่เล่าต่อว่าตอนที่จะต้อนวัวควายไปเลี้ยงตามทุ่งนาแถวๆบ้านดอนลอนั้น ถนนสองข้างทางที่เดินผ่านจะมีต้นไม้ใหญ่ที่ปลายยอดโค้งชนกันเป็นคล้ายหลังคาอุโมงค์ บรรยากาศร่มครึ้มน่าวังเวงยิ่งนักถึงแม้จะเป็นตอนกลางวัน และหากวันใดต้อนวัวควายกลับเข้าบ้านค่ำ ถนนเส้นนั้นจะมืดจนมองไม่เห็นทางเลยทีเดียว ทำให้เวลาต้อนวัวควายจะต้องมีคนหนึ่งเดินนำหน้าละอีกคนหนึ่งเดินต้อนข้างหลัง แล้วตลอดทางต้องตะโกนถามกันไปจนสุดทางเพราะกลัวว่าทั้งคนทั้งวัวควายจะหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ในสมัยปัจจุบัน บ้านดอนลอแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นที่นาของชาวบ้านซะส่วนใหญ่ ถนนหนทางก็ดีขึ้นทำให้ลดความน่ากลัวลงบ้าง แต่ ความอาถรรพ์ก็ยังคงเดิม ดังที่จะเล่าต่อไปนี้
Advertisement
Advertisement
จากประวัติของหมู่บ้านดอนลอที่มีคนล้มตายจากโรคห่ากันเป็นจำนวนมากนั้น ทำให้ที่ดินแถวบ้านดอนลอที่ปัจจุบันได้กลายเป็นเรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน และยังคงมีความอาถรรพ์เกิดขึ้นอยู่ อาจเนื่องจากว่าวิญญาณน่าจะไม่ไปไหนเพราะการตายจากโรคห่าถือเป็นการตายห่าตายโหง โดยที่บางคนอาจจะยังไม่ถึงอายุขัยแต่ต้องมาติดโรคตายไปซะก่อนทำให้วิญญาณยังคงวนเวียนอยู่จนกว่าจะหมดอายุ และอาจไม่เคยได้รับการสวดส่งวิญญาณตามประเพณีเลยเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากมีคนตายเป็นจำนวนมากจนเผาแทบไม่ทัน จึงต้องกองไว้ให้เน่าเปื่อยไปเองก็มี เรียกได้ว่าจำไม่ได้เลยว่าใครเป็นใครและการตายด้วยโรคห่าแบบนี้คงไม่มีใครอยากเข้าใกล้มากนัก ยิ่งจะต้องมาทำพิธีสวดอภิธรรมให้ด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่ ซึ่งผู้เขียนเองเชื่อว่าวิญญาณเหล่านนั้นยังคงอยู่และมีอยู่จริง เพราะจากประสบการณ์ที่เคยพบเห็นและจากคำบอกเล่าของแม่ที่เคยเล่าให้ฟังตั้งแต่เด็กทำให้ผู้เขียนมีความเชื่ออยู่ประมาณหนึ่งเหมือนกัน โดยอาถรรพ์เรื่องแรกนั้นเกิดขึ้นตอนผู้เขียนยังเด็กมาก ตอนนั้นญาติๆรวมทั้งพ่อและแม่พากันไปกินข้าวป่า (คนอีสานเรียกการไปกินข้าวที่สวนว่า กินข้าวป่า เป็นการห่อเอาข้าวปลาอาหารไปกินที่สวนและถือเป็นการไปดูแลถากถางสวนด้วยในตัว) ซึ่งสวนที่ว่าก็คือสวนของป้าปัดที่อยู่บ้านดอนลอเก่านั่นเอง สวนของป้าปัดนี้ค่อนข้างจะรกเพราะป้าจะปลูกต้นกล้วย ต้นมะม่วง รวมทั้งต้นไม้ใหญ่อื่นๆที่มีมานานแล้วแต่ไม่ได้ตัดโค่นทิ้ง ทำให้บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่นในตอนกลางวัน แต่จะดูวังเวงในตอนใกล้ค่ำ ตอนนั้นจำได้ว่าไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึง ทุกคนต่างพากันทำงานดูแลสวนช่วยป้าไปประมาณค่อนวันจนถึงเย็น จึงได้พากันหาข้าวหาปลามากินข้าวเย็นตามปกติ ป้าปัดแกก็ถือโอกาสนำเหล้ายาปลาปิ้งมาเลี้ยงทุกๆคนที่มาช่วยงานแก ตอนนั้นใกล้ค่ำแล้วผู้เขียนไม่อยากอยู่ที่สวนเพราะอยากดูการ์ตูน สมัยนั้นผู้เขียนอายุประมาณแปดขวบ แม่จึงมาส่งไว้กับป้าอีกคนที่อยู่ในหมู่บ้าน และอยู่เล่นกับลูกพี่ลูกน้องรอว่าเดี๋ยวตอนที่แม่กลับแม่คงจะมารับ ผู้เขียนก็รอจนหลับไปและตื่นมาอีกทีในตอนเช้า ก็สงสัยว่าทำไมไม่มีใครมารับกลับบ้าน จึงขอให้ลุงพามาส่งที่บ้านเพราะบ้านผู้เขียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง หลังจากวันนั้นผู้เขียนได้ยินผู้ใหญ่พูดกันถึงเรื่องว่าตอนเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำของเมื่อวาน ทุกคนกินข้าวเย็นเสร็จก็เริ่มมึนเมาเพราะฤทธิ์สุราจึงเกิดความคึกคะนอง พากันเคาะถ้วยเคาะชามร้องเพลงกันลั่นป่าในยามที่ฟ้าใกล้มืด หรือที่เรียกว่าช่วงโพล้เพล้และก่อกองไฟให้แสงสว่างเพื่อที่จะกินดื่มต่อไปเรื่อยๆไม่ยอมกลับบ้าน ทุกคนต่างผลัดกันร้องไปคนละเพลงสองเพลง ร้องกันไปร้องกันมาจนหมดเพลงที่จะร้อง ตอนนั้นแม่เริ่มมืนๆอยากจะนอนก็เลยนอนลงข้างๆ รอให้ทุกคนพากลับ จนสุดท้ายลุงอีกคนก็นึกเพลงหนึ่งขึ้นได้และก็ร้องขึ้นมาว่า “ฟังก่อนท่านทั้งหลาย ฟังบรรยายพระเวสสันดร” ในความเงียบและบรรยากาศที่เริ่มมืด บทเพลงนั้นจะว่าเป็นเพลงก็ไม่ใช่เพราะเป็นบทสวด”สรภัญญะ” ตอนพระเวสสันดรชาดก เป็นบทสวดเล่าถึงพุทธประวัติชาติภพที่สิบขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้ในชาติต่อมา และบทสรภัญญะนี้คนอีสานมักจะสวดในวัดหรืองานบุญต่างๆเพื่อสรรเสริญครูบาอาจารย์ และเล่าเรื่องต่างๆทางพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังหลงเหลือบทสวดบทนี้อยู่หรือไม่ และไม่แน่ใจว่าลุงแต่งขึ้นมาเองหรืออย่างไรเพราะปัจจุบันลุงแกเสียไปนานแล้ว พอลุงแกเริ่มร้องขึ้นมาวรรคแรกทุกคนก็ขนลุกซู่ แล้วก็พากันหัวเราะและต่อว่าลุงแกว่าร้องขึ้นมาทำไมในบรรยากาศแบบนี้ แต่ก็ยังพากันร้องต่อซะอย่างนั้น ร้องไปซักพักแม่ผู้เขียนก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแบบสะลึมสะลือเพราะยังไม่สร่างจากฤทธิ์สุรา พอแม่ลืมตาขึ้นมา (ปกติแม่จะเป็นคนที่มีสัมผัสพิเศษอยู่บ้าง) แม่แกก็ทักขึ้นว่า “ใครมานั่งอยู่บนเถียงนา” (กระท่อมหลังเล็กๆไม่มีผนังมุงด้วยหลังคาสังกะสีเก่าๆ ยกพื้นสูงสร้างไว้สำหรับนั่งพัก คนอีสานเรียก เถียงนา) แม่แกนึกว่ามีญาติมาหา แต่ทำไมไม่มีใครสนใจเรียกมากินข้าว ทุกคนก็แปลกใจว่าใครที่ไหน เพราะมองไปไม่เห็นมีใครแม้แต่คนเดียว แล้วก็ต่อว่าให้แม่ว่า แม่เมามากแน่ๆแล้วบอกให้นอนต่อ แต่แม่แกก็เถียงคอเป็นเอ็นว่า “ มีจริงๆนะ นั่นไง มีคนเฒ่าคนแก่นั่งอยู่ แล้วก็ยังมีทั้งผู้หญิงผู้ชายใส่ชุดขาว นั่งอยู่เถียงนาบ้าง นั่งตามขอนไม้บ้าง หลายคนเลย “ ทุกคนก็เริ่มขนลุกเพราะเห็นแม่ยืนยันหนักแน่นว่าเห็นจริงๆ แต่ทุกคนในที่นั้นกลับไม่เห็นใครเลยนอกจากกลุ่มของพวกเราเอง ต่างคนต่างไม่คิดอะไรมากอีกต่อไป พากันเก็บข้าวเก็บของอย่างไว รีบกลับเข้าบ้าน ตาสว่างกันเลยทีเดียว ส่วนพ่อกับแม่ก็หนีกลับบ้านลืมผู้เขียนไปเลย ทิ้งไว้ให้นอนที่บ้านป้าจนเช้า พอทุกคนมาตั้งสติได้ตอนเช้าก็คุยกันว่าสงสัยสิ่งที่แม่เห็นจะเป็นวิญญาณคนแก่โบราณที่อยู่ที่นั่น พากันมาฟังบทสรภัญญะที่ลุงแกร้องเพราะพวกเขาน่าจะไม่ได้ยินมานานมากแล้ว และคงต้องการผลบุญหรืออานิสงจากการฟังบทสรรเสริญพระพุทธเจ้าเพื่อจะได้ไปเกิด ทุกคนจึงรีบไปทำบุญกันยกใหญ่เพื่ออุทิศส่วนบุญให้คนเหล่านั้น นี่ก็เป็นเรื่องแปลกๆเรื่องแรกที่พบเจอมาที่หมู่บ้านดอนลอแห่งนี้ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่หรือเป็นผลจากการเมาสุราก็แล้วแต่ ผู้อ่านก็ควรใช้วิจารณญาณไตร่ตรองดู แต่สำหรับผู้เขียนนั้น เรื่องแบบนี่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่จะดีที่สุด
เรื่องราวแปลกๆที่หมู่บ้านดอนลอยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ผู้เขียนยังคงมีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งในที่ดินแปลงนี้ ซึ่งเป็นเวลาห่างกันประมาณสิบปีเห็นจะได้ โดยเรื่องนี้ผู้เขียนได้เป็นผู้พบเห็นมาด้วยตนเอง ป้าคนนี้เป็นพี่สาวของแม่ นั่นก็คือป้าปัด ดังที่กล่าวไปแล้วว่าสวนของป้าปัดอยู่ในเขตหมู่บ้านดอนลอเก่า บริเวณสวนจากที่เคยเป็นป่า ป้าแกก็เริ่มคิดอยากจะปรับปรุงให้เป็นที่พัก ที่เลี้ยงสัตว์และปรับพื้นที่บางส่วนเป็นแปลงผัก เพื่อเสริมรายได้ ป้าปัดจึงช่วยกันปรับปรุงถากถางกับลุงแสนสามีแก นอกจากนี้ก็ช่วยกันตัดต้นไม้ ล้อมรั้วกั้นเขตพื้นที่สวนจนเสร็จเรียบร้อย แม่ผู้เขียนเห็นว่าป้าอยากได้วัวมาเลี้ยงจึงไปขอถามซื้อจากคนรู้จักมาให้ ในราคาที่พอคุยกันได้ วัวที่ได้มาก็เป็นวัวตัวเมียที่มีลูกติดท้องมาด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่เข้าทางและดูเหมือนจะดีขึ้น แต่อยู่มาซักพัก ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไรที่ดลใจให้ป้าเริ่มไม่พอใจแม่ หาว่าแม่เอาวัวท้องเปล่ามาหลอกขาย เพราะป้าแกให้สัตวบาลมาตรวจสุขภาพและฉีดยากันโรคให้และช่วยดูด้วยว่าวัวตัวนี้มีลูกจริงหรือไม่ ตอนแรกที่ทำการตรวจด้วยการล้วงมือเข้าไป สัตวบาลก็บอกว่าวัวมันไม่ได้ท้องนะ เพราะแกคลำไม่เจอตัวอ่อน ทั้งๆที่ก่อนที่แม่จะซื้อต่อมาขายให้ป้า ก็ตรวจไปแล้วรอบหนึ่งเพื่อยืนยันว่าวัวตัวนั้นมีท้องจริงๆ และเวลาต่อมาวัวตัวนั้นก็เริ่มท้องโตขึ้นเรื่อยๆ ป้าแกจึงค่อยคลายความขัดเคืองใจกับแม่ลงบ้าง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างของป้าปัดก็ดูจะผิดใจกันไปซะหมด รวมถึงกับพี่น้องคนอื่นๆไม่ว่าใครจะทำอะไรก็จะผิดใจกับป้าเสมอทั้งๆที่ป้าไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์ แม้แต่ลุงแสนสามีป้าก็ยังขุ่นเคืองพ่อของผู้เขียนเรื่องที่นาอะไรสารพัด ทั้งๆที่เรื่องแต่ละเรื่องเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก จนพ่อแม่ผู้เขียนต้องมานั่งคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สงสัยกันได้ไม่นานป้าปัดแกก็เริ่มป่วยหนักอย่างกะทันหัน ตอนแรกป้าแกปวดท้องมากจนต้องโทรเรียกแม่ให้มาพาไปโรงบาล พอมาถึงและเข้าห้องตรวจ ผลตรวจที่ได้กลับบอกว่าป้าเป็นแค่โรคกระเพาะ เสร็จสรรพก็รับยามากินแล้วก็กลับบ้าน ทุกคนไม่สงสัยอะไรเพราะเชื่อว่าถึงมือหมอแล้วคงปลอดภัย ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ป้าเริ่มปวดท้องมากทรมานจนทนไม่ไหว คราวนี้แม่ไม่พาไปที่โรงพยาบาลแล้ว แต่พามาที่คลินิกแทน พอตรวจอย่างละเอียดก็พบว่าป้าแกลำไส้อักเสบมาก จำเป็นต้องส่งตัวไปที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดเพราะอาจจะต้องได้ผาตัด ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ป้าต้องผ่าตัดลำไส้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกทุกคนคิดว่าป้าไม่น่าจะรอดจนต้องบอกสามีกับลูกแกให้ทำใจไว้ แต่ป้าก็สามารถรอดมาได้ เมื่อผ่าตัดไปสองครั้งป้าก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ แม่และผู้เขียนก็ไปเยี่ยมเป็นประจำ จนถึงวันที่หมอให้กลับบ้านได้ ระหว่างที่ป้าพักฟื้นอยู่ที่บ้าน คนอีสานจะมีความเชื่อเรื่องที่ว่าหากคนในเครือญาติป่วยต้องมีเหตุอะไรที่ทำให้ไม่สบาย สิ่งที่ว่าก็น่าจะเป็นพลังงานที่มองไม่เห็นดลให้เกิด ญาติๆจึงพากันไปทำการดูหมอโดยนำวันเดือนปีเกิดไปให้หมอดูหรือหมอธรรม (หมอธรรม คือ ผู้ที่ถือศีล มีคาถาอาคมไสยขาว ประมาณว่าเป็น พรามผู้ทำพิธีต่างๆ)ดูดวงชะตาให้ หมอธรรมท่านก็ทักขึ้นว่ามีใครไปทำอะไรหรือสร้างอะไรปิดกั้นเส้นทางเดิมหรือไม่ เพราะตามที่หมอธรรมได้สัมผัส มีบางอย่างบอกว่ามีคนไปทำรั้วปิดกั้นทางเดินของเขา ซึ่งทางเส้นนี้เป็นทางที่เขาใช้สัญจรไปมามาตั้งแต่อดีตแล้ว มีคนไปทำรั้วกั้นไว้ทำให้เขาเดินผ่านไม่ได้เหมือนเดิม เขาเลยดลบันดาลให้เกิดความเดือดร้อนภายในบ้าน ญาติๆที่ไปด้วยกันก็คิดอยู่นานก็คิดไม่ออก จนได้กลับมาปรึกษากันที่บ้านป้าปัดว่ามีใครได้ไปทำเหมือนที่หมอธรรมท่านทักหรือไม่ จนป้าปัดแกนึกขึ้นได้ว่าแกกับสามีไปทำรั้วรอบสวนมา ซึ่งข้างๆสวนแกแต่ก่อนเคยเป็นเส้นทางที่คนมักจะเดินผ่านเข้าไปในสวนที่อยู่ลึกเข้าไปอีก เพราะว่าบริเวณรอบๆมีการทำรั้วกันมาก่อนนานแล้วทำให้เหลือแค่ที่สวนของป้าที่เดียวที่ยังไม่มีรั้วและสามารถเดินเข้าไปได้ แต่พอป้าแกเลี้ยงไก่แกก็กลัวว่าไก่ของแกจะไปทำลายพืชผักของคนอื่นและก็อีกใจหนึ่งก็กลัวมีคนมาขโมยไก่ก็เลยตัดสินใจล้อมรั้วปิดเส้นทางบริเวณนั้นซะ ทุกคนได้ฟังเช่นนั้นก็กระจ่างคลายความสงสัย จึงได้แนะนำป้าว่าต้องไปเชิญหมอธรรมมาทำพิธี ไม่อย่างนั้นจะต้องมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นอีกเป็นแน่ และญาติๆก็อยากจะทำพิธีสู่ขวัญให้ป้าด้วย (หรือคนอีสานเรียกว่า เอิ้นขวัญ เพราะเชื่อว่าคนที่ป่วยหนักหรือประสบอุบัติเหตุจะทำให้เกิดความตกใจ จิตใจฟุ้งซ่าน จนขวัญหนีดีฝ่อ จำเป็นต้องเรียกเอาขวัญกลับคืนมาสู่ตน หรือหากว่าไปประสบอุบัติเหตุ ณ จุดใด ต้องพาหมอธรรมไปทำพิธี ซ้อนขวัญ คือการเอาสวิงไปช้อนเอาขวัญที่อยู่ที่จุดนั้นคืนมา ถ้าหากไม่ทำอาจจะทำให้คนป่วยมีอาการสติไม่สมประกอบก็เป็นได้ ถือเป็นอุบายในการเรียกขวัญกำลังใจกลับคืนมานั่นเอง ) หลังจากพูดคุยกันเสร็จสรรพแล้วญาติๆจึงนำเรื่องไปบอกแก่หมอธรรมและขอคำปรึกษาว่าควรทำอย่างไรต่อ หมอธรรมจึงบอกให้ลุงไปรื้อรั้วตรงบริเวณนั้นออก แต่ถ้าหากจำเป็นที่จะล้อมรั้วจริงๆก็ไม่ต้องรื้ออกหมดแค่เหลือไว้สำหรับผ่านเป็นช่องเล็กๆก็ได้ ถือเป็นการแก้เคล็ดและสิ่งสำคัญต้องมีการเตรียมเอาขันห้าดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางด้วย ส่วนป้าปัดนั้นหมอธรรมจะทำพิธีเสริมดวงต่อชะตาให้ เมื่อถึงวันทำพิธีผู้เขียนเห็นหมอธรรมแต่งชุดขาวพร้อมอุปกรณ์ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆมาด้วย เช่น ดาบสองเล่ม มีดหมอหนึ่งเล่ม พอเริ่มพิธีหมอธรรมก็จะให้ป้านอนพนมมือถือดอกไม้ธูปเทียน แล้วนำด้ายสายสิญจน์มาผูกโยงให้กับป้าปัดคล้ายกับการมัดตราสังข์ จากนั้นหมอธรรมก็ทำการร่ายรำ มือทั้งสองก็ถือดาบกวัดแกว่งไปมาพร้อมๆกับท่องคาถาพึมพำและรำไปรอบๆตัวป้าปัด เป่าคาถาออกมาเป็นระยะๆ และใช้ดาบทำท่าคล้ายๆกับการเฉือนหรือกรีดไปตามแขนขนเบาๆ ซักพักก็ให้ป้าปัดลุกขึ้นในท่านั่งเหยียดขาและทำพิธีเช่นเดินคือรำไปรอบๆแล้วเป่าคาถา พอใกล้เสร็จพิธีหมอธรรมก็ใช้ดาบทั้งสองเล่มเฉือนไปตามด้ายสายสิญจน์ที่ผูกไว้จนขาดออกจากกันทั้งหมดเป็นอันเสร็จพิธี ซึ่งวิธีการที่ผู้เขียนเล่ามาอาจจะไม่ละเอียดหรือไม่ทั้งหมดเพราะผู้เขียนได้พบเห็นและเก็บมาเล่าจึงไม่ได้ทราบถึงความหมายและวิธีอย่างละเอียดนักแค่อธิบายพอให้ผู้อ่านได้เข้าใจ จากนั้นก็เข้าสู่พิธีต่อไป เป็นการเอิ้นขวัญกลับเข้าร่าง โดยจะมีป้าปัดนั่งตรงกลาง ลูกชายป้าปัด สามีป้าปัด และผู้เขียนนั่งอยู่ประกบซ้ายขวา เพราะเชื่อว่าเมื่อขวัญมาแล้วจะเข้าไปอยู่กับคนที่ตัวเองคุ้นเคยหรือคนที่เป็นญาติสนิท และจะมีพานบายศรีวางอยู่ข้างหน้า จากนั้นหมอธรรมก็โยงสายสิญจน์ให้ทุกคนถือไว้พร้อมกับพนมมือ หลับตา และทำสมาธิ จากนั้นหมอธรรมก็ทำการสวดเรียกขวัญตามแบบฉบับทางภาคอีสาน วิธีการสังเกตว่าขวัญกลับมาแล้วและไปอยู่กับใครนั้น จะสังเกตที่มือที่พนมอยู่ ถ้าหากมือใครสั่นเองโดยที่ไม่ได้จงใจทำแสดงว่าขวัญกลับมาอยู่กับคนนั้น ซึ่งด้วยความอยากรู้ผู้เขียนก็แอบลืมตาขึ้นมาดูก็เห็นว่ามือของป้าปัดที่พนมอยู่นั้นสั่นจริงๆแล้วก็เห็นหมอธรรมนำไข่ต้มไปใส่ในมือแล้วให้ถือไว้ เมื่อขวัญเข้ามาอยู่ในไข่แล้วก็ให้ป้ากินไข่ต้มใบนั้นเพื่อเป็นการนำขวัญกลับคืนตัว พิธีนี้เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยความเชื่อและศรัทธา จึงไม่มีใครคิดที่จะล้อเล่นในขณะทำพิธีเพราะถือเป็นเรื่องความเป็นความตายเลยก็ว่าได้และผู้เขียนก็เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่ควรลบหลู่อย่างยิ่งถึงแม้ว่าเราจะเข้ามาสู่ยุคดิจิตอลแล้วก็ตาม พอพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นลง เหตุการณ์ต่างๆก็กลับเข้าสู่ความปกติอีกครั้ง ป้าปัดก็มีสุขภาพที่แข็งแรงดังเดิม ญาติพี่น้องก็กลับมาสามัคคีกัน จะว่าคนอีสานงมงายก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะทุกสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอยู่จริง
เขียนโดย โลกา ผี วัฒน์ (facebookโลกา ผี วัฒน์ )
ความคิดเห็น






