อื่นๆ

นางน้อย

576
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
นางน้อย

นางน้อย

                นางน้อย ตามภาษาถิ่นแปลว่าคนตัวเล็ก ซึ่งเพื่อนในกลุ่มของเราที่ชื่อนางน้อยคนนี้เธอก็ตัวเล็กสมชื่อจริงๆ ด้วยความผิดปกติทางร่างกายและโรคอะไรสักอย่างที่เราไม่ค่อยสนใจ ทำให้เธอในวัย 14 ปี กลับมีรูปร่างราวกับเด็กประถมเพียงเท่านั้น

                นางน้อยมักเป็นคนร่าเริงเสมอ แม้ร่างกายเธอจะไม่แข็งแรง เธอโดดเด่น แก่นแก้ว เป็นผู้นำในหลายๆ เรื่อง

                และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเมื่อ 12 ปีก่อน ช่วงที่ผมอยู่ม.2 ในยุคสมัยที่โทรศัพท์มือถือทำได้เพียงแค่โทรออก รับสาย ไม่ก็เล่นเกมเจ้างูน้อย กิจกรรมระหว่างพักเรียนของเด็กมัธยมสมัยนั้นจึงมักเป็นการนั่งเล่น กระโดดยาง เข้าห้องสมุด ทว่าไม่ใช่กับนางน้อย เธอชวนพวกเราเล่นผีเหรียญที่อาคารดนตรีเก่า การละเล่นที่ใครๆ ก็รู้ว่าที่เหรียญขยับนั่นเพราะว่าคนชวนต้องการสร้างสีสันให้มันดูน่ากลัวยิ่งขึ้น เลยขยับมันเสียเอง

Advertisement

Advertisement

                ด้วยความหน่าย เราจึงตอบตกลงไปอย่างนั้น ผมเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่มถูกปัดให้ไปเล่นรอบหน้า ส่วนหญิงสาวทั้งสี่ต่างประจำที่สี่มุม พร้อมกับกระดานผีถ้วยแก้วที่เขียนบนกระดาษลังอย่างรีบรน

                “พุท โธ ธา ยะ” ทั้งสี่เรียงกันเอ่ยคนละคำ โดยที่ผมไม่รู้ว่ามันคือคาถาเรียกวิญญาณหรือเปล่า

                วูบหนึ่งมีกลิ่นธูปโชยมา พวกเราเริ่มหน้าซีด มีเพียงนางน้อยที่ยิ้มร่าพร้อมกับบอกว่าเธอไปจุดเอง เพื่อสร้างบรรยากาศ แต่ผมไม่รู้สึกโอเคเท่า

ไหร่ เพราะนางน้อยจุดธูปดอกเดียว ปักไว้บนกระทงอาหารสองสามอย่าง...ครั้งนี้เธอเหมือนจะเอาจริง

                เหรียญเริ่มขยับ ทุกคนที่ใช้นิ้วก้อยแตะเหรียญเพียงผิวเผินนั้นส่งสีหน้าเบื่อหน่าย เพราะรู้ว่านางน้อยเป็นคนขยับ แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผัน เพราะจู่ๆ เหรียญบาทเหรียญนั้นก็เคลื่อนที่หลุดออกจากปลายนิ้วก้อยทั้งสี่ที่วางแตะไว้ ซ้ำยังเคลื่อนที่ไปมาราวกับมีชีวิต ไม่สิ...ตอนนั้นใจผมเต้นแรงมาก ราวกับรับรู้ว่ามันต้องมีมือที่ 5 คอยเคลื่อนไหวเหรียญนั้นอยู่

Advertisement

Advertisement

                เราทุกคนมองหน้ากัน เพื่อนสามคนเหมือนจะร้องไห้ พยายามที่จะไม่ส่งเสียงออกมา แล้วมองเหรียญที่ยังหมุนวนอย่างหวาดกลัว

                “นางน้อย...มึงทำอะไร ?” ผมหันถามคนต้นคิด

                “ก็แค่เชิญวิญญาณของคนที่บริจาคที่สร้างห้องดนตรีมาไง”

                คำตอบของเธอทำเอาขนลุกซู่ เพราะรูปของผู้บริจาคติดอยู่ในห้องดนตรี ห้องดนตรีที่ไม่ว่าโรงเรียนไหนก็ย่อมมีประวัติ รูปขาวดำในกรอบคร่ำคร่านั้น แม้แต่ช่วงเวลาที่เข้าเรียนพร้อมกันสามสิบกว่าคนผมยังไม่อยากที่จะมอง มองทีไรรู้สึกเหมือนโดนคนในรูปนั้นจ้องตอบทุกที

                สายลมรอบตัวกระโชกพัด เศษใบไม้และฝุ่นผงถูกพัดพากระจายสาดใส่เราราวกับถูกกำหนดไว้แล้ว ในที่สุดเพื่อนหนึ่งคนก็กรี๊ดออกมา เพราะว่าเหรียญมันขยับอยู่ที่อักษรของตัว ซึ่งเป็นชื่อของผู้บริจาคที่ดินสร้างห้องดนตรีแห่งนี้ แรงเสียดสีทำให้กระดาษเริ่มขาด ผมที่ไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายจึงตัดสินใจหยิบเหรียญนั้นขว้างข้ามกำแพงไป แล้วฉีกกระดานจากกระดาษลังนั้นเป็นชิ้นๆ ทันที ก่อนเอามันไปเผาที่หลังห้องดนตรีอย่างรวดเร็ว

Advertisement

Advertisement

                สภาพทุกคนในตอนนั้นดูหวาดกลัวและวิตกกังวล ตลอดคาบบ่ายในวันนั้นเราห้าคนไม่เป็นอันเรียน เพราะเราต่างได้กลิ่นธูปโชยคลุ้งอย่างรุนแรงตลอดเวลา

                เช้าวันต่อมา ผมซื้อธูปและขนมไทยสองสามอย่าง มาโรงเรียนแต่เช้า หมายไปจุดขอขมาผู้ที่เราต่างลบหลู่ไปเมื่อวาน แต่แล้วเราก็ได้รับข่าวร้ายว่านางน้อยช็อกจนถูกหามส่งโรงพยาบาลเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา เราจึงลาหยุดเพื่อไปหานางน้อยทันที

                เธออยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษเกี่ยวกับปอดและระบบทางเดินหายใจ เราทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อเข้าไปเยี่ยมเธอ

                สีหน้าของนางน้อยอ่อนเพลียจนเราอยากจะร้องไห้ โดยปกติเธอก็ตัวเล็กและดูอ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งเห็นเธอในสภาพแบบนั้นเรายิ่งเสียใจ

                เสียงแหบพร่าของนางน้อยเอ่ยคำแรกคือคำว่า “ขอโทษ”

                ทั้งสี่คนจับมือเธอไว้แน่น รับฟังคำสารภาพจากเธอเมื่อวานว่าเธอไม่ได้เชิญวิญญาณของผู้บริจาคที่ดินสร้างห้องดนตรี แต่เธอให้เลือดหมูสดมาสังเวยเพื่อเชิญผีห่าซาตาน สัมภเวสีในโรงเรียนมาสิงที่เหรียญนั้น โดยที่เธอไม่รู้ว่าเรื่องลี้ลับมันมีอยู่จริง และเมื่อคืนมันมาหาเธอ มันบอกว่านางไม่ยอมจบพิธี จึงจะเอานางน้อยไปอยู่ด้วย

                ภายหลังเรารับทราบจากแม่ของนางน้อยว่าตอนที่พบเธอนั้น นางน้อยนอนละเมอบีบคอตัวเอง และตลอดทางมาโรงพยาบาล เธอพร่ำเพ้อเพียงคำว่า ขอโทษ และ หนูจะไม่ทำแล้ว ตลอดทาง

                เราจึงตกลงกันไว้แล้ว ว่าถ้านางน้อยหายดี เราจะไม่ถวายสังฆทานและทำบุญเก้าวัดกัน

                แต่เราก็ไม่มีโอกาสได้ทำ นางน้อยจากเราไปในเย็นวันเดียวกัน โดยหมอบอกว่าปอดติดเชื้อ แต่เรากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่มากกว่าวิทยาศาสตร์จะสามารถให้คำตอบได้

                แม่ของนางน้อยเรียกเราสี่คนมา เธอบอกว่านางน้อยเล่าให้ฟังแล้วว่าไปทำอะไรไว้ แม่จึงพาเราไปหาร่างทรงคนหนึ่ง เพื่อให้เขาช่วยดูให้ และผลก็ปรากฏว่า รอบๆ โรงเรียนนั้นมีคนเล่นศาสตร์ดำ หรือไสยศาสตร์อยู่ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่หมอไสยศาสตร์คนนั้นปล่อยของเพื่อทดลองอาคม วิญญาณบริวารจึงกระจัดกระจายไปในรูปแบบของลมเพลมพัด ซึ่งตอนนั้นนางน้อยดันไปจุดธูปเชิญพอดี มันเลยจะเอานางน้อยเพราะคิดว่านางน้อยยอมสังเวยชีวิตให้มัน และมันก็ทำได้สำเร็จ

                ซึ่งตอนนี้ ไอ้วิญญาณ “ของไสยศาสตร์” ตนนั้นก็กระจัดกระจายไปไหนต่อไหนมิอาจทราบได้ แม่ของนางน้อยร้องไห้จนเป็นลมล้มพับไป ส่วนเราก็ทำได้เพียงแค่จดจำเรื่องราวนี้ไว้เป็นบทเรียนราคาแพง ว่าไม่ควรท้าทายกับสิ่งที่มองไม่เห็นอีก และสิ่งที่ทำให้ผมต้องเล่าเรื่องนี้ขึ้นมานั่นก็เพราะว่าเราสี่คนที่โตเป็นผู้ใหญ่และต่างแยกย้ายกันไปทำงานในต่างถิ่นนัดเจอกันอีกครั้งในวันเสาร์นี้...เพื่อไปทำบุญให้นางน้อย เพื่อนสาวตัวเล็กผู้โชคร้ายของเรา

                ครบรอบ12ปีที่เธอจากไป

                เราจะจดทำเธอไว้ และหวังว่าความตายของเธอจะเป็นอุทาหรณ์ให้ใครต่อใครที่มีความคิดโง่ๆ จะท้าทายกับสิ่งที่มองไม่เห็นยกเลิกความคิดนั้นเสีย เราไม่มีทางรู้ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นคืออะไร

                เสาร์นี้เจอกันนะ...

                นางน้อยตัวแสบของพวกเรา

                แด่เธอที่รัก...

      จบ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์