อื่นๆ
ห้องสูทสุดสยอง

ห้องสูทสุดสยอง
หลายคนคงเคยฟังเคยอ่านเรื่องการเจอผีกันมาพอสมควร และสถานที่ยอดฮิตติดอันดับแห่งหนึ่ง ที่มักจะมีคนเจอผี นั่นคือโรงแรมและที่พักต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงแรมเล็กๆ ในต่างจังหวัด
ฉันเองก็เป็นคนที่ชอบอ่าน ชอบฟังคนเล่าเรื่องผีมามาก แต่ก็ไม่เคยเจอจังๆ กับตัวสักครั้ง และไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้รู้รสของการเจอผีหรอกค่ะ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่มีเซนส์อะไรเลย คาดว่าคงไม่สามารถสัมผัสกับวิญญาณได้ อะไรทำนองนั้น แต่ใครจะไปรู้ว่า ช่วงชีวิตหนึ่ง จะมีโอกาสได้พบกับเรื่องยอดฮิตในลักษณะนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน
ก่อนอื่นต้องท้าวความก่อนว่าฉันมีอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวของนิตยสารแห่งหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้ว ก็จะไปทำข่าวในกรุงเทพฯ แล้วก็มีไปสัมภาษณ์บุคคลที่น่าสนใจนิดหน่อย ไม่ถึงกับบุกตะลุยไปต่างจังหวัดอะไรบ่อยๆ หรือถ้าต้องไปค้างอ้างแรมจริงๆ ก็จะมีทีมงานไปด้วยกัน
Advertisement
Advertisement
แต่สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ ดูเหมือนอะไรช่างเหมาะเจาะดีเหลือเกิน
“แป้ง... พอดีมีหมายข่าวมา วันมะรืนนี้แถลงข่าวเปิดตัวงานวิจัยแล้วก็เยี่ยมชมโรงงานที่โคราช พี่รบกวนแป้งไปเก็บประเด็นมาลงเล่มนี้หน่อยนะ”
“ได้ค่ะบก. เอ...ไม่ทราบว่า เขามีรถรับส่งมั้ยคะ”
“มีจ่ะ แต่เขาจะออกจากรุงเทพบ่าย 2 ของวันพฤหัสนะ แป้งต้องไปค้างที่โคราชคืนนึง แล้วตอนเช้าเขาก็จะพาไปที่จัดงานแต่เช้า”
“ไม่มีปัญหาค่ะบก. ว่าแต่งานนี้ใครไปกับแป้งเอ่ย”
“ก็นี่แหละ ที่พี่กำลังจะบอก คือทุกคนติดหมายงานหมดเลย รวมทั้งช่างภาพก็ไม่มีใครว่าง พี่คงต้องให้แป้งไปคนเดียว แล้วก็ช่วยเก็บภาพมาด้วยก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องห่วง งานนี้มีนักข่าวไปกันหลายสำนัก แป้งก็พอรู้จักอยู่แล้วนี่”
หลังจากได้ยินว่าต้องไปคนเดียว ก็รู้สึกชะงักเล็กน้อย แต่ด้วยสปิริตก็รับปากไปอย่างมาดมั่น เพราะไม่เห็นจะมีอะไรต้องกลัว เพราะทางฝ่ายผู้จัดงาน เขาต้องเลี้ยงดูปูเสื่อนักข่าวอย่างดีอยู่แล้ว ยิ่งทราบรายละเอียดว่าไปพักโรงแรม ก็คงจะหรูหราและอิ่มหนำสำราญดีแน่ๆ
Advertisement
Advertisement
พอรู้ว่าจะต้องไปค้างอ้างแรมที่โคราช ฉันก็โทรรายงานแฟนซะหน่อย เพราะที่โคราชนั่นเป็นบ้านเกิดของแฟนฉัน
“ตัวเอง วันพฤหัสนี้เค้าต้องไปทำข่าวที่โคราชแหละ ต้องไปค้างคืนนึงด้วย”
“ไปนอนบ้านยายเค้ามั้ยล่ะ”
“อย่าเลยค่ะ บ้านตัวเองอยู่ตั้งไกล ทางที่จัดงานเขามีรถรับส่ง คงพาไปนอนโรงแรมใกล้ๆ งานนั่นแหละ เพราะตอนเช้าต้องออกกันแต่เช้า”
“แล้วที่ว่าไปนอนโรงแรมนี่โรงแรมอะไรเหรอ”
ฉันบอกชื่อโรงแรมไป พอแฟนได้ยินถึงกับเงียบ
“เขาพาไปนอนโรงแรมนั้นจริงๆ เหรอ”
“ทำไม มีอะไรเหรอ มีผีรึไง ฮ่าๆ” ฉันยังพูดติดตลก
“ปะ เปล่า โรงแรมนั้นมัน...สวยดี ได้ข่าวว่าตกแต่งปรับปรุงใหม่ พี่ยังไม่เคยไปพักเลย ยังไงก็ถ่ายรูปมาให้ดูบ้างนะ”
เสียงแฟนพูดตะกุกตะกัก เหมือนจะมีอะไรปิดบังสักอย่าง แต่ฉันก็ไม่ได้เอะใจในตอนนั้น กลับนึกสนุกว่าดีเหมือนกันคราวนี้ที่ได้ไปคนเดียว ถือว่าเป็นการได้เที่ยว ได้พักผ่อนไปด้วยในตัว
Advertisement
Advertisement
พอถึงวันที่ไป ฉันก็จัดเตรียมข้าวของที่จำเป็นไม่กี่อย่าง เพราะคิดว่าที่โรงแรมคงมีให้พร้อมสรรพ พอนั่งรถไปถึงโรงแรม ก็จริงอย่างที่แฟนบอกจริงๆ ว่าโรงแรมนี้สวยมาก และบรรยากาศก็ดีด้วย ทว่ารู้สึกจะเงียบไปเสียหน่อย อาจจะเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุด
“คุณแป้งใช่มั้ยครับ นี่การ์ดห้องของคุณแป้งนะครับ อยู่ชั้น 5”
“โทษนะคะ แล้วไม่ทราบว่าแป้งนอนกับใครเหรอคะ จะได้ขึ้นไปพร้อมกัน”
“อ๋อ พอดีเราจองไว้ให้ 1 ห้อง ต่อหนึ่งสื่อเลยครับ จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดที่ต้องพักกับคนไม่รู้จัก บางเล่มเขามากัน 2-3 คน ก็ได้พักห้องเดียวกัน”
“งั้นแสดงว่าแป้งต้องนอนคนเดียวสิคะเนี่ย แหะๆ”
“ครับ...ไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่สะดวกอะไรก็โทรมาที่เคาท์เตอร์ได้เลย”
ฉันรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าต้องนอนคนเดียว เพราะไม่ว่าจะไปทำข่าว หรือไปเที่ยว ไปธุระที่ไหน ก็มักจะต้องมีคนนอนด้วย แต่สำหรับงานนี้ คงจะมีงบประมาณมาก จึงให้เรานอนกันคนละห้องเลยทีเดียว
และเมื่อเข้าไปในห้องพัก ฉันยิ่งตกใจมากขึ้นอีกเท่าตัว
“นี่มันห้องอะไรวะเนี่ย” ฉันพึมพำกับตัวเองในความเงียบ
สภาพห้องที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ห้องเดี่ยวแคบๆ ที่มีเตียง 1-2 เตียงอย่างที่ฉันเคยเจอ แต่พอเปิดเข้าไป ก็พบว่ายังมีประตูเพื่อเปิดเข้าไปในห้องนอนอีก 2 ห้อง ด้านหน้าเป็นห้องนั่งเล่น มีทีวีทั้งหมด 3 เครื่อง ห้องน้ำใหญ่โตโอ่อ่า มีทั้งอ่างอาบน้ำ ทั้งฝักบัว มีชากาแฟสำหรับคนประมาณ 4-5 คนเห็นจะได้
“นี่มันห้องสูทชัดๆ ให้นอนคนเดียวในห้องสูทเนี่ยนะ”
ฉันไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี กับการที่ได้พักห้องใหญ่โตขนาดนี้เพียงลำพัง แต่ก็คิดเล่นๆ ว่า เอาวะ ชีวิตคงไม่ได้มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ ว่าแล้วฉันก็จัดแจงวางกระเป๋า เข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาหามุมสวยๆ
แชะ แชะ แชะ....
ห้องสวยขนาดนี้ใครกันล่ะจะอดใจไหวที่จะไม่ถ่ายรูปเอาไว้ ว่าเคยมาพักที่หรูๆ ขนาดนี้
ก๊อกๆๆ
ขณะที่กำลังถ่ายรูปเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีคนมาเคาะ
“ขอโทษครับ ผมจะมาแจ้งว่าเดี๋ยว 6 โมง ให้ลงไปเจอกันข้างล่างนะครับ จะพาไปทานข้าวกัน” น้องพีอาร์ที่คอยดูแลสื่อมวลชนมาเคาะห้องตามไปกินข้าว
“อ่อ.... ค่ะ ตกใจหมดเลย ห่ะๆ”
“ห้องนี้ โอเคมั้ยครับ”
“โอเคค่ะ โอเคมากเกินไปด้วยซ้ำ ห้องใหญ่โหวงเหวงมากเลย”
“ต้องขอโทษด้วยครับ พอดีผมไม่ได้มาเซอร์เวย์สถานที่จริง จองจากเว็บไซต์น่ะครับ เห็นราคาไม่สูงเท่าไหร่ ก็เลยจองไปตามราคา ก็ไม่ได้คิดว่าใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้ ผมเองก็พักคนเดียวเหมือนกัน”
“ค่ะ งั้นสักครู่จะตามลงไปนะคะ”
ฉันเก็บกล้องถ่ายภาพ และเตรียมตัวลงไปกินข้าว แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากห้องฉันก็รู้สึกอะไรบางอย่าง มันเหมือนกับว่ามีอะไรสักอย่างผ่านด้านหลังไปแวบๆ ฉันจึงรีบหันไปดูทันที แต่ก็ไม่มีอะไร ก็แน่ล่ะสิ จะมีอะไรได้ยังไง ก็ฉันอยู่ในห้องนี้คนเดียว
พอลงไปรับประทานอาหารกับเหล่านักข่าวทั้งหลาย ก็อดไม่ได้ที่จะมีการดื่มกันเล็กน้อยตามประสา แถมร้านอาหารที่เขาพาไปทานก็รสชาติแสนอร่อย กว่าพวกเราจะทานมื้อเย็นกันเสร็จ ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว ตอนแรกๆ ฉันก็รู้สึกเฮฮาดีอยู่หรอก แต่พอกลับเข้าห้องและตั้งสติได้ ว่าต้องอยู่คนเดียวในห้องนี้ทั้งคืน ก็รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมาเหมือนกัน
ฉันดื่มแอลกอฮอล์ไปนิดหน่อย แต่มั่นใจว่าไม่เมาแน่ๆ กลับมายังมานั่งเปิดทีวีดู อาบน้ำอาบท่าเสียใหม่ และไม่วายหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพอีกครั้ง เพราะคิดว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นมาก็ต้องไปแล้ว คงไม่มีโอกาสได้ถ่ายอีก ว่าแล้วก็เอากล้องมากดชัตเตอร์ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ถ่ายไปทั่วทุกมุมจนกระทั่ง
เฮ้ย! เงาอะไรวะ
ฉันรู้สึกมีเงาดำเกิดขึ้นบนรูปที่ฉันถ่าย คิดว่ามือตัวเองไปบังเลนส์ หรือมีอะไรติดที่เลนส์ แต่ก็ไม่มี พอถ่ายอีก ก็ติดเงาดำๆ ที่ว่านั่นอีก จนกระทั่งรู้สึกขนลุกขึ้นมา ก่อนจะพูดบางอย่างกับตัวเอง
“นี่เราจะบ้ารึเปล่าวะเนี่ย 4-5 ทุ่ม มาถ่ายรูปเล่นในโรงแรมแบบนี้ พิเรนทร์แล้วมั้ยละกู”
พูดจบฉันก็หยุดถ่ายรูปทันที ไม่เปิดกล้องดูรูปที่ถ่ายด้วยซ้ำ ว่าเงาดำที่รู้สึกเหมือนถ่ายติดนั้นคืออะไร รีบปิดกล้องและวางเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะรีบเข้าไปที่ห้องนอนและเปิดทีวี เปิดไฟสว่างจ้าทันที
นาทีนั้น ฉันกำลังรู้สึกว่าตัวเองกลัวอะไรบางอย่าง และแน่นอนว่าภายในจิตใจกำลังพยายามต่อสู้กับมัน ปกติฉันเป็นคนไม่กลัวผีเลย แต่คราวนี้มันมีบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกหวั่นไหว อาจเป็นเพราะความกว้างของห้อง ไหนจะมีประตูเปิดไปห้องนั้นห้องนี้ได้อีก ฉันจัดการกับความกลัวของตัวเองด้วยการทำให้ห้องดูแคบลง
ฉันลุกขึ้นไปปิดประตูทุกบาน แล้วตัวเองก็อยู่ในห้องนอนห้องใหญ่ จากนั้นก็ปิดไฟที่สว่างๆ ให้หมด เหลือเพียงไฟสลัวที่หัวเตียง วิธีของฉันอาจจะแปลกกว่าคนอื่น บางคนบอกว่า ถ้ากลัวผี ก็คงจะเปิดไฟสว่างโล่ แล้วก็เปิดทีวีทิ้งไว้ทั้งคืน แต่สำหรับฉัน กลับคิดว่า ถ้าเปิดไฟสว่าง ฉันก็มองเห็นได้ง่ายเลยล่ะสิ ไม่เอาล่ะ ปิดไฟดีกว่า
ฉันพยายามข่มตานอน แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ จึงโทรไปคุยกับแฟน คุยกับเพื่อน กระทั่งมันดึกมากแล้ว จึงเห็นสมควรว่าตัวเองควรจะนอนให้ได้สักที แต่มันก็ไม่ได้หลับง่ายดายนัก กับเตียงนอนใหญ่ๆ ขนาดนอนได้ 3 คน อีกทั้งหมอนเรียงรายอยู่หลายใบ ฉันพยายามข่มตานอนจนกระทั่งเคลิ้มแล้วเชียว
อยู่ดีๆ ก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อแตก ราวกับใครมาปิดแอร์ ขณะที่ฉันขยับตัวกำลังจะหงายไปอีกฝั่งเพื่อหารีโมทแอร์ แต่ก็ชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง
ฮึ้ย! ฉันอุทานเบาๆ ใจเต้นตึกตัก สิ่งที่ฉันชนนั้น ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่า มันคือร่างใครอีกคน...
ทำไงดีละทีนี้ ทำยังไงดี...ฉันควรจะหันไปดูให้เห็นกับตาเลยไหม มันอาจจะเป็นหมอนข้างหรืออะไรก็ได้ ฉันอาจจะคิดไปเอง
ขณะที่ฉันรวบรวมความกล้า กำลังจะลุกขึ้นนั่ง และหันกลับไปดู ก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นเสียก่อน
...มันคือเสียงลมหายใจแรงๆ ของใครบางคน คล้ายจะเป็นเสียงกรน มันดังชัดมาก เหมือนกำลังหายใจรดต้นคอฉันอยู่...
นาทีนั้นเอง ที่ทำให้ฉันได้รู้ว่า ความกลัวผีมันเป็นยังไง ฉันนอนตัวแข็งทื่อ อยากจะวิ่งออกไปจากห้องนั้นเสียให้ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ได้แต่นึกวนไปวนมา ว่าควรทำยังไงดี ที่จะพ้นสถานการณ์ตรงนี้ไปได้ ฉันนึกถึงพ่อ นึกถึงแม่ นึกถึงคุณพระคุณเจ้า บทสวดมนต์มีกี่บทก็พยายามสวดให้หมด สวดมันมั่วๆ ผิดๆ ถูกๆ
พอเริ่มตั้งสติได้แล้ว ฉันก็บอกกับตัวเองว่า ไม่นะ เราจะมาสติแตกแบบนี้ทั้งคืนไม่ได้ พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า คืนนี้ต้องนอนหลับให้ได้ ว่าแล้วฉันก็ตัดสินใจลุกพรวดขึ้น และหันกลับไปมองด้านหลังทันที และรู้สึกโล่งอก ที่ไม่เห็นอะไรอยู่ตรงนั้น
ฉันลุกขึ้นเปิดไฟให้สว่างขึ้น และครุ่นคิดว่าตัวเองจะทำยังไง ใจนึงก็อยากจะวิ่งไปเคาะห้องนักข่าวคนอื่นแล้วก็ขอนอนด้วยให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่อีกใจนึงก็อายถ้าต้องทำถึงขนาดนั้น
เพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศอันเงียบงัน ฉันจึงหารีโมทกดเปิดทีวีเป็นอันดับแรก แล้วก็มีนั่งคิดว่าจะทำอย่างไรให้คืนนี้ผ่านไปได้ซะที ครั้นจะโทรหาใคร ก็ปาเข้าไปตีหนึ่งแล้ว โทรหาแฟนก็ไม่รับ สงสัยจะหลับแล้วเหมือนกัน กระทั่งฉันนึกคำพูดของใครบางคนได้
“เวลาไปนอนที่ไหน อย่าลืมไหว้เจ้าที่เจ้าทางด้วยล่ะ แล้วก็อย่าเปิดโอกาสให้ใครมานอนข้างๆ เชียว ถ้าเกิดที่นอนมันกว้าง ก็อย่าทำเหมือนเว้นที่ให้ใคร นอนมันให้เต็มนั่นแหละ จะได้ไม่มีใครมานอนด้วย”
ใช่แล้ว...มีคนเคยสอนฉันแบบนี้ คนๆ นั้นคือย่าของฉันเอง ย่าจะบอกเสมอว่าไปนอนที่ไหนให้ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง แต่ฉันมันคนหัวสมัยใหม่ แถมยังไม่ค่อยกลัวผี จึงลืมเรื่องนี้ไปเลย แล้วก็วิธีนั้นด้วย ....ใช่แล้ว...อย่าเว้นที่เผื่อใคร
เมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉันจึงตัดสินใจปิดทีวีแล้วนอน แต่คราวนี้ไม่นอนชิดขอบเตียงเหมือนที่ตัวเองเคยนอนอีกแล้ว แต่นอนตรงกลางที่นอนเลย แล้วก็เอาหมอนเอาหจะหมอนและผ้าห่มที่เหลือ มาวางรอบตัว ไม่ให้ที่นอนเหลือที่ว่าง จากนั้น ฉันก็ปิดไฟนอนเลย
แรกๆ ฉันยังนอนไม่หลับ ระแวงว่าจะมีอะไรอีกไหม แต่สักพักหนึ่งฉันก็เคลิ้มหลับไปด้วยความง่วงและเพลีย กระทั่งเช้า...
“เป็นยังไงบ้างครับ เมื่อคืนนี้ หลับสบายไหม” น้องพีอาร์เอ่ยถามฉันตอนลงมาเจอกันที่ล็อบบี้
“ก็หลับสบายดีนี่คะ” ฉันตอบไปส่งๆ ไม่อยากพูดอะไรมาก กลัวคนอืนจะหาว่างมงาย
“จริงเหรอครับ แต่ผมรู้สึกแปลกๆ ทั้งคืนเลยอ่ะ ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือฝัน คือก็ไม่อยากเล่าให้ใครกลัว แต่ผมรู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้อง เดินไปเดินมาทั้งคืน” น้องพีอาร์เล่า
“เอ่อ...จริงๆ แล้ว พี่ก็รู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่นะ คิดว่าที่นี่คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”
ไม่เพียงฉันกับน้องพีอาร์เท่านั้น ที่รู้สึกแปลกๆ กับโรงแรมนี้ ฉันรู้สึกว่านักข่าวคนอื่นๆ ก็มีบ่นพึมพำๆ กันเรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกัน แต่พอเช้ามาต่างก็แยกย้ายกันทำงานตามหน้าที่ จึงไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก
พอกลับมาจากโคราช ฉันก็อดไม่ได้ที่จะไปถามแฟน ฉันว่าเขาต้องรู้อะไรเกี่ยวกับโรงแรมนี้อยู่แล้วแน่ๆ
“ตัวเอง บอกมานะ ว่าโรงแรมที่เค้าไปพักมีอะไร”
“เจอมาแล้วล่ะสิ หึๆ....คนโคราชเค้ารู้กันทั้งนั้นแหละ ว่าที่นี่ผีดุ”
“ก็เจอน่ะสิ แต่ทำไมถึงมีผี ก็ที่นี่เป็นโรงแรมสร้างใหม่ไม่ใช่เหรอ ไม่น่าจะมีใครมาตายซะหน่อย”
“สร้างใหม่ แต่มันทับที่เก่าน่ะสิ เมื่อก่อนที่ตรงนั้นเป็นสุสานเก่า เขาว่ากันว่าอ่ะนะ พอนายทุนมาคว้านซื้อที่เขาก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอสร้างอะไรขึ้นมาตรงนั้นก็เจ๊งหมด กระทั่งเปลี่ยนมาเป็นโรงแรมนี่ล่ะ ปิดกันให้แซ่ด ว่าเฮี้ยนนักหนา โดนทุกราย แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก”
“ว่าแล้วเชียว...โอย...เจอผีครั้งแรกในชีวิตเลยนะเนี่ย”
“ก็บอกแล้วให้ไปนอนบ้านยาย ฮ่า ฮ่า”
หลังจากประสบการณ์ครั้งนี้เอง ก็ทำให้ฉันเชื่อเรื่องพวกนี้มากขึ้น และไม่เคยลืมคำสอนของย่า เวลาที่จะไปค้างอ้างแรมที่ไหนอีกเลย แล้วอีกอย่างนึงที่เป็นหลักฐานสำคัญในครั้งนี้ คือรูปที่ฉันถ่ายมาจากห้องสูทห้องนั้น มีเงาดำพาดผ่านแทบทุกรูปเลย
...ที่ชัดที่สุด มีรูปๆ หนึ่งที่ฉันถ่ายไว้ตรงม่านหน้าต่าง ไม่มีเงาดำที่หน้าเลนส์ แต่เหมือนมีเงาคนอยู่หลังผ้าม่านนั้นเลย ภาพนี้เป็นผลงานสุดสยอง ชัตเตอร์กดติดวิญญาณรูปแรกในชีวิตของฉัน ที่ทำเอาเพื่อนๆ ในกองที่ได้เห็นขนลุกไปตามๆ กันเลยทีเดียว....และหวังว่ามันคงเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตนะ
....................
ความคิดเห็น
