อื่นๆ

เรื่องเล่าท้ายกระบะ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เรื่องเล่าท้ายกระบะ

ในตอนที่ผมยังเด็กที่บ้านของผมทำอาชีพขายน้ำปลา โดยที่พ่อของผมจะขับรถกะบะ บรรทุกน้ำปลาเข้าไปเร่ขายตามหมู่บ้านต่างๆ โดยมีผมเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆ หากวันไหนแม่ไปด้วย ตำแหน่งของแม่ก็จะเป็นคนขายอยุ่ด้านหลังกระบะ 

     สิ่งที่ต้องทำเป็นประจำคือ ทุกๆเช้าเราจะขนน้ำปลาใส่ลัง และยกขึ้นใส่ท้ายกระบะ บางวันหากมีผักหรือผลไม้ที่มาจากชาวบ้าน ที่เอามาฝากให้เราขาย ก็ต้องเผื่อเวลาสำหรับการจัดเตรียม เพื่อที่จะแบ่งผักเป็นกำ ๆ และ แพคผลไม้ใส่ถุงให้ได้ถุกละ 1 กิโล  จากนั้นจึงออกรถ ตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆโดยในช่วงเช้าจะเป็นการส่งน้ำปลาไปตามร้านค้าซึ่งเป็นลูกค้าประจำ ส่วนในช่วงบ่ายจะเป็นการเร่ขายน้ำปลาและผักผลไม้ที่เรารับจากชาวบ้านมา ไปในตัวหมู่บ้าน 

       เมื่อเกือบ 20 กว่าปีที่แล้ว สภาพหมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่ในเขตเทศบาล ยากมากที่จะหาไฟส่องสว่างได้ตลอดแนวของหมู่บ้าน จะมีเพียงไม่กีดวงที่ติดตามเสาไฟฟ้า ที่พอจะให้เห็นบริเวณทางแยก ของหมุ่บ้านเพื่อที่จะเข้าหรือออก ถนนสายหลักก็เท่านั้น 

Advertisement

Advertisement

        มีอยู่วันหนึ่ง ทุกอย่างเกือบจะเหมือนเดิมถ้าวันนั้นเรากลับบ้านเร็วกว่า ที่พระอาทิตย์จะตกดิน

        ในวันนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว เรารับผลไม้และผัก รวมถึงอาหารสด เพื่อที่จะนำเข้าไปขายในตัวหมู่บ้านซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งซึ่งอยู่ลึกที่สุดและมีอาณาเขตติดกับอีกอำเภอหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไป จากอำเภอที่ครอบครัวเราอยู่ วันนั้นเรารีบลงน้ำปลาให้กับร้านค้าเจ้าประจำ เพื่อที่จะทำเวลา และมีเวลาในการขายของสด รวมถึงเผื่อเวลาในการเดินทาง วันนั้นบรรยากาศช่วงเช้าค่อนข้างแจ่มใส เราสองคนพ่อลูกขายของกันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากหมู่บ้านห่างไกลรถพ่อค้าเร่มาไม่บ่อย จนมารู้ตัวอีกที สินค้าในรถก็เริ่มร่อยหล่อ ขวดน้ำปลาที่บรรจุในลังลังละ 24 ขวดขนมาเกือบเต็มกระบะ  ตอนนี้มีแต่ลังเปล่า จากเช้าจนบ่าย จากบ่ายเป็นค่ำ จากแดดเปรี้ยงจนเป็นฟ้ามืด หกโมงเย็นแต่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เพราะเป็นฤดูหนาวจะมืดเร็ว เหลืออีกหมู่บ้านเดียวเราก็จะกลับพ่อบอก หมุ่บ้านนั้นเขาไม่ค่อยมีของสด ถ้าเราไม่เข้าไป เขาก็จะไม่มี หมู ไก่ ปลากินกัน กว่าจะมีคันอื่นเข้าไปขายก็ไม่รุ้อีกเมื่อไหร่ ผมย้ายตัวเองจากท้ายกระบะ ไปนั่งข้างคนขับกับพ่อด้านหน้ารถ หมุ่บ้านนั้นห่างออกไปจากจุดที่เราขายอีก 15 กิโล ตอนนี้แสงภายนอกไม่มีให้เห็นแล้ว เหลือแต่ไฟหน้ารถ และไฟที่พ่อพวงแบตห้อยไว้ท้ายรถเพื่อให้เห็น ตอนหยิบของหรือทอนตังค์ให้ลุกค้า ซึ่งก็ไม่ได้สว่างมากนัก 

Advertisement

Advertisement

        ถนนเป็นรุกรังตลอดแนว ทำให้พ่อต้องใช้เวลาขับเกือบ ๆ 40 นาที ตอนนี้เรามองเห็นหมู่บ้านข้างหน้าลิบ ๆ ผมไม่แน่ใจว่าเผลอหลับตอนไหน จนมารู้ตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงพ่อ  “ไอ้ต่อ ลุก ๆ ลงไปหยิบของให้ลูกค้า” ผมงัวเงี่ยลงรถเพื่อทำตามสั่งของพ่อ แต่ก็ต้องงง เพราะหาลูกค้าของพ่อไม่เจอ ผมเดินกลับมาหน้ารถแล้วถามพ่อว่า ไหนละคนซื้อ พ่อผมมองจากกระจกข้างรถ แล้วบอกตะกี้ยังเห็นโบกรถให้จอดเลย หรือว่าอยากขายของให้หมดมาก จนเห็นพุ่มไม้ข้างทางเป็นลูกค้าโบกรถว่ะ “งั้นเอ็งก็รีบขึ้นรถ จะได้ไปต่อ” ยังไม่ทันที่รถจะออกตัว เราสองคนก็ได้ยินเสียงเหมือนคนถีบท้ายกระบะ สองครั้งติดกันแรง ๆ “ คงเป็นแตงโม กลิ้งไปโดนท้ายกระบะนะพ่อ” ผมบอกพ่อตามที่ผมเข้าใจ ณเวลานั้นตาผมแทบจะปิดเพราะง่วงมาก ออกจากจุดเดิมมาได้เท่าไหร่ไม่รู้ ผมได้ยินเสียงพ่อพูดกับคนที่อยู่ด้านท้ายกระบะว่า “หนุ่มหาที่นั่งดี ๆ นะ พื้นรถมันเปียกหาอะไรมารองนั่งแล้วกัน” ผมได้ยินแต่เสียงแต่ตาผมก็หลับอยู่

Advertisement

Advertisement

           พอเข้าเขตหมู่บ้าน ผมก็รู้สึกตัวเกินที่จะข่มตาให้หลับต่อลงได้เพราะ เสียงหมาเห่าปนหมาหอน ซึ่งหนักไปทางหอนมากกว่า ทำเอาขนลุกและรู้สึกเย็นอยากบอกไม่ถูก พ่อเริ่มลดความเร็วเพราะเข้าหมู่บ้านแล้ว เผื่อจะมีคนซื้อโบกเราจะได้ทันเห็น “สงสัยเราจะมาช้า เขาเข้านอนหมดแล้วมั้ง” พ่อพูดเพราะมองไม่เห็นคนเลย เราขับรถเข้ามาเกือบ สิบนาทีแล้วแต่เสียงหมาหอนก็ดัง อยุ่เป็นระยะ ๆ จนกระทั้งมาถึง หน้าวัด ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกระทุ้งเท้า สองสามครั้ง พ่อผมจอดรถทันที แล้วโบกมือไปมาท่าทางบ๊ายบายใครสักคนที่อยู่ทางท้ายรถ มาถึงตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าพ่อพูดอะไรหรือเปล่า เพราะเสียงหมาเห่าหมาหอนนั้นดังมาก ดังจนสามารถกลบเสียงภายนอกหมด รถของเราค่อย ๆ ขับ ซึ่งผมเองก็แปลกใจมาก ว่าทำไม ถึงไม่มีใครซื้อเลยตั้งแต่เราเข้าหมู่บ้านมา หรือว่าทุกคนจะหลับกันหมดแล้วเหมือนที่พ่อว่า “เด่วไปกลับรถที่ท้ายหมูบ้าน แล้วเรากลับบ้านกัน วันนี้เขาคงเข้านอนหมดแร้ว” ขณะที่พ่อกำลังจะหันหน้ารถออกจากตัวหมู่บ้าน ก็ไปเห็นบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่เลยบ้านหลังสุดท้ายของหมู่บ้านไป 200 เมตร มองระยะไกลเหมือนกำลังจัดงานอะไรอยู่ เพราะเห็นกลุ่มคนหลายคนที่นั้น พ่อเลยตัดสินใจขับไปที่บ้านหลังนั้น พอไปถึงหน้าบ้านถึงได้รู้ว่า ที่หาคนซื้อไม่ได้เพราะชาวบ้านเขามารวมตัวช่วยงาน ศพกันอยู่ที่นี้นิเอง พ่อจอดรถเยื่องออกไปนิดหน่อยและจอดตรงนี้ไมถึง 20 นาที ชาวบ้าน ก็ทยอยออกมาซื้อของ บนรถจนหมด จนทุกอย่างหลังกระบะว่างเปล่า พ่อถามลูกค้าที่มาซื้อของว่า “ใครตายเหรอป้า” “ลูกชายเจ้าของบ้านไปเป็นทหารเกรณ์ ป่วยเป็นไข้เลือดออกตาย” หลังจากปล่อยให้ผมเก็บข้าวของด้านหลังรถ พ่อก็ไปไหว้ศพในงานสักพักก็เดินออกมา แล้วบอกผมว่าขากลับอย่าหลับนะ อยู่เป็นเพื่อนคุยกับพ่อก่อน 

              เมื่อมาถึงที่บ้าน ผมอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน พ่อถึงได้เล่าให้ผมฟังว่า ระหว่างทางก่อนที่จะถึงหมู่บ้าน เหมือนเห็นผู้ชายใส่หมวกนั่งเอาขาห้อยออกทางกระบะรถและชี้นิ้วไปทางหมู่บ้านสุดท้ายที่เราไปขายของ ก็เลยคิดว่าเขาขอติดรถไปด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าขึ้นมาตอนไหน พอไปไหว้ศพในงาน ถึงได้ถึงบางอ้อเพราะคนในรูปหน้าโลง นั้นมีลักษณะเหมือนกันเปียบกับตอนที่นั่งท้ายกระบะ “จำได้ไหม”พ่อถามผม “ตอนที่อยู่หน้าวัด เขากระทุ้งเท้าที่ฝ้าท้ายเหมือนจะบอกว่าถึงแล้ว” อ่อ ที่พ่อโบกมือใช่มั่ย “ ผมตอบ ..

      ทั้ง ๆ ที่ผมง่วงมาก แต่ก็นอนไม่หลับ ปีนั้นอายุ 17 แต่ก็ต้องไปลากผ้าห่มกับหมอนมานอนเบียดกับพ่อแม่ ไปหลับเอาก็เกือบใกล้สว่าง และยายพาเราสองคนไปวันในเช้าถัดมา 

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์