อื่นๆ

กงเกวียน กำเกวียน

139
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
กงเกวียน กำเกวียน

กงเกวียน กำเกวียน

เรื่องราวต่อไปนี้มันอาจจะไม่ใช่เรื่องเล่าที่น่ากลัวสยดสยองหรือว่าหลอนจนนอนไม่หลับ แต่รับประกันได้เลยว่ามันไม่มีใครอยากพบเจอแน่ๆ เพราะการเจอผีมันก็แค่เจอ ทว่าหากได้พบกับเรื่องราวของเวรกรรมแล้วละก็ ต่อให้ไม่เห็น มันก็เกาะติดเราทุกคนแน่นจนกว่าความตายจะมาเป็นตัวปลดพันธนาการเวรกรรม

เลวร้ายกว่านั้นมันอาจจะผูกติดกับวิญญาณของเราขนาดข้ามภพข้ามชาติเลยก็ว่าได้

เรื่องเล่านี้มาจากน้าเอก ที่ทำงานเป็นช่างไฟฟ้าฝีมือดีให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง เขาต้องเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อทำงานให้กับโรงแรม รีสอร์ต หรือสถานที่ต่างๆ ที่มีคอนแท็คกับทางบริษัท เรียกได้ว่าเป็นมือดีที่ใครๆ ก็อยากได้เลยทีเดียว

ครั้งนั้นเขาต้องไปทำงานที่จังลำพูน ในพื้นที่นอกเขตเมืองที่ค่อนข้างเป็นเขตชนบท ผู้ว่าจ้าคือเจ้าของรีสอร์ตเล็กๆ ที่กำลังสร้าง จ้างให้น้าเอกไปเดินระบบไฟให้ทั้งหมด โดยที่ทางผู้ต้อนรับก็จัดแจงอาหารอย่างดีมาให้ ทั้งอาหารป่า ผัดเผ็ดกวาง หมูป่า อาหารเหนือ แกงฮังเล น้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว ซึ่งโดยพื้นฐานน้าเอกค่อนข้างเป็นคนเลือกกิน แต่อาจด้วยเหล้าสาโทที่ได้ดื่มเข้าไป เขาจึงนึกคึกที่จะลองลิ้มผัดเผ็ดกวางที่ไม่เคยกิน แล้วปรากฏว่าเขาติดใจกินคนเดียวหมดจานจนต้องสั่งมาเพิ่ม

Advertisement

Advertisement

รออยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าอาหารจานนั้นจะมาส่งจากพ่อครัวร้านอาหารป่าที่อยู่ห่างไปหลายกิโลเมตร นับว่าอาหารมื้อนั้นเป็นการเปิดหูเปิดตาของน้าเอกเลยทีเดียว

หลังจบมื้ออาหารและเมาได้ที่แล้ว ทั้งหมดจึงแยกย้ายเข้าที่พัก น้าเอกเดินเลี้ยงออกมาระหว่างทางเข้าที่พักจึงแวะฉี่ข้างทางเสียหน่อย แต่แล้วในตอนนี้สายลมเย็นเยียบก็พัดผ่านร่างจนเขารู้สึกขนลุกแปลกๆ มันไม่เหมือนปกติ มันหนาวถึงแก่นกระดูกจากคำบอกเล่า

จากนั้นเกิดเสียงแปลกๆ ที่พงหญ้าด้านหน้า เขาผงะถอยหลังออกมา เมื่อเพ่งดีๆ จนสายตาเคยชินกับความมืดแล้ว เขาก็พบว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวนั้นคือสุนัขพันธ์ไทยตัวหนึ่ง มันกำลังเอียงคอมองเขาด้วยแววตาที่สะท้อนกับแสงจันทร์ดูวาววับน่าพรั่นพรึง น้าเอกเห็นว่าหางที่ตั้งขึ้นสื่อถึงความสงสัย ก่อนจะส่ายหางช้าๆ

“มานี่มาตัวเล็กๆ” เขายื่นมือเข้าไปหา หมายเย้าหยอก ด้วยความเมามายจึงไม่ได้สังเกตว่าร่างสีดำมะเมือมนั่นไม่ได้ส่ายหาง มันกระโจนพุ่งเข้ามาแล้วกัดที่มือซ้ายของน้าเอกจนจมเขี้ยวแล้วกระโจนหายไป เสียงร้องของน้าเอกทำให้ทุกคนแตกตื่น เขาถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในตัวอำเภอทันที เพราะช่วงนี้เป็นหน้าร้อน อากาศร้อนมากๆ เจ้าของรีสอร์ตเกรงว่ามันจะเป็นหมาว้อ (หมาบ้า) จึงต้องได้รับการพยาบาลอย่างด่วน

Advertisement

Advertisement

รุ่งเช้า การรักษาเมื่อคืนได้ผลดี น้าเอกจึงเริ่มทำงานด้วยจิตใจที่เกรี้ยวโกรธ หมายว่าหากเจอหมาบัดซบตัวนั้นเขาจะเตะมันให้ตายคาตีน มันกัดมือเขา มือที่ต้องใช้ทำงานหาเงิน มันไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้

การทำงานในวันนั้นผ่านไป วันนี้ทั้งหมดก็ตั้งวงดื่มสังสรรค์กันอีกครั้ง แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ให้เมา เพราะพรุ่งนี้ต้องเร่งงาน แต่แล้วระหว่างที่ความครื้นเครงดำเนินไป น้าเอกก็เห็นหมาตัวนั้น เขาจำมันได้ทันทีว่ามันคือตัวเดียวที่กัดเขา

“ไอ้หมาระยำ มึงได้ตายแน่วันนี้” เขาโพล่งขึ้นมา หลายคนงุนงงว่าเขามองอะไร เพราะทุกคนต่างมองไปแล้วก็ไม่เห็นหมาตัวที่ว่าเลย ความโมโหทำให้น้าเอกเดินไปหยิบยาฆ่าหญ้ามาราดลงที่น่องไก่ทอดแล้วโยนมันเข้าพงหญ้าไป ก่อนไปล้างมือแล้วกลับมานั่งที่เดิม “หมาแบบนี้ไม่น่ามีเจ้าของหรอก”

“ตัวไหน ?” เจ้าของรีสอร์ตถาม น้าเอกจึงอธิบายลักษณะท่าทางของหมาตัวนั้นไป เมื่อได้ฟังเขาถึงกับหน้าซีด “ตัวนั้นจริงๆ เหรอ ?”

Advertisement

Advertisement

“ใช่ มีแผลที่ที่กลางหลังเหมือนเป็นขี้เรื้อน”

“ไม่จริง...” เจ้าของรีสอตหน้าซีดหนักกว่าเดิม แล้วเล่าเรื่องราวในมุมของตนเองว่าหมาตัวนั้นควรจะตายไปแล้ว เพราะว่ามันมาขโมยกินไก่ชนของเขา เขาจับมันได้แล้วผูกมันไว้กับเสากลางบ้าน และเป็นคนเอาน้ำร้อนเดือดจัดๆ ราดไปที่ตัวของมันให้มันดีดดิ้นทรมานคุ้มกับที่มันกัดไก่ชนราคาหลายหมื่นของเขา ซ้ำยังฟาดมันตายไปกับมือ

น้าเอกหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลก เพราะไม่เชื่ออย่างสุดหัวใจ ถ้าหากว่ามันเป็นหมาผี งั้นก็แสดงว่าเขาโดนผีกัดน่ะสิ

กลางดึกคืนนั้น น้าเอกลุกขึ้นมาเพราะสะดุ้งตื่นจากเสียงหมาหอน ที่หอนรับกันเป็นทอดๆ ตั้งแต่หน้าทางเข้ารีสอร์ต เขาเดินออกมาที่ชานหน้าบ้านรับรอง ก่อนพบว่าค่ำคืนนี้ท้องฟ้าสีวิปริตไปหมด มันเป็นสีน้ำเงินเข้มแกมแดงดูช้ำเลือดช้ำหนอง สายลมรอบตัวก็พัดวนจนความรู้สึกซึ่งเคยแข็งเป็นหินนั้นถูกกัดกร่อน

พลันเสียงก้าวเท้าของอะไรสักอย่างก็ดังขึ้นแล้วมาหยุดอยู่ที่บันได น้าเอกเปิดไฟหน้าบ้านทันที ก่อนจะพบว่าหมาตัวนั้นยืนอยู่ตรงนั้น มันหันมามองเขาด้วยแววตาเกรี้ยวกราด แยกเขี้ยวคู่คำราม และใช้ขาหน้าเตะน่องไก่ที่เขาให้ไปราวกับไม่แยแส

“แล้วมึงจะรู้!” นั่นคือประโยคที่ทำให้เขาเป็นลมหมดสติและตกบันไดหกขั้นลงสู่พื้นจนแขนหัก เมื่อได้ยินชัดเจนว่าหมาตัวนั้นพูดได้

น้าเอกรู้ตัวอีกก็อยู่ที่โรงพยาบาลในสภาพดามแขนแล้ว ซ้ำพี่เจ้าของรีสอร์ตก็อยู่ที่โรงพยาบาลเช่นเดียวกัน เพราะว่าเขาที่กำลังช่วยแม่ตัวเองเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงลูกน้องที่จ้างมาอยู่นั่นเอง จังหวะที่กำลังจะยกหม้อแกงขนาด 48 นิ้วขึ้นรถ จู่ๆ หมาตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามากัดเข้าที่น่องของเขาอย่างแรงแล้ววิ่งหายไป ส่งผลให้เขาเสียหลักหงายท้อง หม้อแกงร้อนๆ ที่กำลังเสร็จใหม่ๆ พลิกราดเข้าตั้งแต่ไหล่จรดปลายเท้าจนพุพองไปทั้งตัว

และเพราะแผลที่มือของน้าเอกมันไม่ดีขึ้นจนส่อแววแผลเน่า เขาจึงขอกลับมารักษาตัวที่กรุงเทพและส่งเพื่อนร่วมงานคนอื่นไปแทน หลังจากนั้นเกือยสองอาทิตย์ งานที่ลำพูนก็เสร็จสิ้น เพื่อนๆ ของเขากลับมาพร้อมกับเรื่องเล่าที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก

พี่เจ้าของรีสอร์ตเกิดมีปากเสียงกับลูกน้องต่างด้าวอย่างหนัก โดนลูกน้องเอาไม้หน้าสามฟาดคาเตียงอาการปางตาย แล้วคนเหล่านั้นก็หนีกลับบ้าน เขาถูกส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลใหญ่ ทว่าไม่สามารถยื้อชีวิตเขาได้ ทั้งๆ ที่ใบหน้านั้นแทบดูไม่ได้และใส่เครื่องช่วยหายใจ ก่อนตายเขายังหอนอย่างโหยหวนแล้วสิ้นใจไป

จากนั้นคนเป็นแม่ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ จึงไปหาหมอผีขาวเพื่อให้ช่วยดูให้ แล้วก็รู้ว่าลูกชายโดนทำของใส่ จึงให้หมอผีคนนั้นทำพิธีฆ่าของให้ วันต่อมาในหมู่บ้านก็มีคนตาย นั่นคือพ่อครัวอาหารป่าคนนั้น เจ้าหน้าที่เข้าไปเคลื่อนย้ายศพจากในห้องที่เต็มไปด้วยแท่นพิธีมนต์ดำของเขานั่นเอง

มารู้ทีหลังว่าสองครอบครัวนั้นบาดหมางกันตั้งแต่เรื่องซื้อขายที่สร้างรีสอร์ตแล้ว เพราะไปขอซื้อที่แต่กดราคาจนอีกฝ่ายไม่ยอมขายให้ ด่าทอกันอยู่นาน และก็จบกันไปตั้งแต่ที่ได้ที่ทางปัจจุบัน หากแต่อีกฝ่ายก็ยังให้หมามากัดไก่ชนและปลุกเสกหมาผีมาคอยก่อกวนด้วย แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบแล้ว พ่อครัวคนนั้นถูกเวรกรรมของตนเองตามสนองไปแล้ว หมาที่เลี้ยงไว้อีกห้าตัวก็ตายตามไปอย่างปริศนา

ส่วนพี่เจ้าของรีสอร์ตนั้นก็อาจจะตายด้วยเพราะของที่ถูกทำใส่ ไม่ก็เวรกรรมที่ทำกับหมาตัวนั้นไปเป็นแน่แท้

ห่วงโซ่เวรกรรมและความเคียดแค้นอาฆาตของมนุษย์นั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน น้าเอกยกมือพนมเหนือหัว รู้สึกว่าบุญแล้วที่รอดมาได้ แต่เขาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าหมาที่กัดเขานั้นคือหมาผีจริงหรือ แล้วไอ้หมาที่พูดได้นั่นอีก...

แต่พอคิดๆ แล้วเขาก็ไม่อยากรู้แล้วละ มีชีวิตกลับมาหาลูกหาเมียก็นับว่าบุญแล้ว

น้าเอกจบเรื่องเล่าลงเพียงเท่านั้น หลังจากที่วางแก้วเหล้าแก้วสุดท้ายลง เขาขอตัวกลับบ้าน ก่อนโบกมือลาผมด้วยมือข้างนั้นที่ยังเป็นแผลรอยฟันชัดเจน...

จบ

เสริม

“กงเกวียนกำเกวียน” ไม่ใช่ “กงกรรมกงเกวียน”

"เกวียน เป็นพาหนะที่คนไทยแต่ก่อนนิยมใช้ กงเกวียน คือ วงรอบของล้อเกวียน ส่วน กำเกวียน (คำว่า กำ เขียน ก ไก่ สระอำ) คือ ซี่ล้อซึ่งตรงกลางมีดุมที่มีรูสำหรับสอดเพลาเป็นแกนยึดล้อ ๒ ข้าง เมื่อกงเกวียนหมุนไปทางใด กำเกวียนก็หมุนตามไปทางนั้น    ในภาษาไทยมีสำนวนเปรียบเทียบว่า กงเกวียนกำเกวียน หมายถึง การกระทำใด ๆ ที่มีผลต่อผู้กระทำนั้น ๆ เช่น เขาทำบาปมาตลอดชีวิต จึงต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ นี่แหละกงเกวียนกำเกวียน สำนวนนี้มักใช้กันผิด ๆ ว่า กงเกวียนกรรมเกวียน  (คำว่า กรรม  เขียน ก ไก่  ร หัน  ม ม้า) เพราะเข้าใจว่า “กำ” ในสำนวนนี้คือ “กรรม” ซึ่งแปลว่า การกระทำ บ้างก็ใช้คำผิดและยังลำดับคำผิดเป็น “กงกรรมกงเกวียน” ก็มี ที่ถูกต้องคือ กงเกวียนกำเกวียน จำง่าย ๆ ว่า กง (ของ) เกวียน และ กำ (ของ) เกวียน"

ขอขอบคุณที่มาข้อมูล :  บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย”  ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์