อื่นๆ
เรื่องเล่าของ " โพงไพร "

โพงไพร
ผมใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดหนึ่งของภาคเหนือเมื่อครั้งยังเด็ก ในช่วงเวลานั้นเกิดเรื่องราวแปลกๆ ขึ้นมา ซึ่งจู่ๆ คนรู้จักของยายก็กลายเป็นบ้าใบ้ไปในชั่วข้ามคืน เลวร้ายที่สุดคือเขาจุดไฟเผาบ้านของตัวเองทำให้ลูกสาวของเขาได้รับบาดเจ็บ ชาวบ้านต่างวิตกและหวาดหวั่น เพราะทุกคนคิดไปในทิศทางเดียวกัน...นั่นคือลุงคนนั้นไปก่อกวน”ผีโพง” ที่มีข่าวว่ามีคนเจอบ่อยๆ ในช่วงนั้น
ยายเล่าเรื่องราวให้ผมฟังว่าตามความเชื่อของคนภาคเหนือแล้ว “ผีโพง” บุคคลที่เล่นของอย่างหนัก กระทั่งไม่สามารถแบกรับไหว ท้ายที่สุดเมื่อไม่อาจจะคุมพลังอำนาจเพื่อกดสิ่งชั่วร้ายนั้นไว้ ก็จะถูกกลืนกินเสียเอง หรืออีกนัยหนึ่งคือได้ครอบครองว่านผีโพง
ผีโพงนั้นจัดอยู่ในประเภทเดียวกับปอบ เพราะหากินกลางคืน กลางวันนั้นก็จะเป็นเพียงคนปกติ จุดเด่นของผีโพงคือมีแสงสว่างบริเวณจมูก ใช้สำหรับการส่องหากบเขียดกิน และไม่ทำร้ายมนุษย์ หากไม่โดนรุกราน
Advertisement
Advertisement
อาการบ้าใบ้ของลุงคนนั้นน่าจะเกิดจากการพยายามที่จะตามล่าผีโพง ผีโพงนั้นหากโดนทายทักหรือถูกรู้ว่าตัวตนของเขาคือใคร เขาก็จะตายลง
ยายบอกว่าผีโพงอาจจะถูกก่อกวนและรุกไล่กระทั่งจนมุม มันจึงทำของใส่บ้านของลุงคนนั้น ด้วยการนำก้านกล้วยตัดใบร่ายอาคมโยนข้ามหลังคาบ้านของเป้าหมาย เพียงเท่านั้น ความวิบัติฉิบหายก็จะเกิดขึ้นกับเหยื่อทันที นี่คงเป็นที่มาของอาการวิกลจริตของลุงคนนั้น และมันคงจะทวีคูณความรุนแรงขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุด ณ ความตาย
ความน่ากลัวของเหตุการณ์นี้ไม่ใช่การพบเจอผีโพงมาแลบลิ้นปลิ้นตา ควักไส้แหกพุงหลอกหลอน แต่ทั้งหมู่บ้านในช่วงเวลานั้นเหมือนตกอยู่ในทะเลหมอกแห่งความหวาดวิตก เพราะใครสักคนในหมู่บ้านคือผีโพง ชาวบ้านต้องการที่จะตามหาและจัดการวิญญาณร้ายนั้นเสีย พวกเขาไม่อยากอยู่ร่วมกับผีโพง ไม่กล้าทานข้าวร่วมกับใครเพราะกลัวว่าจะเผลอกินน้ำลายของผีโพงเข้าไปจนตัวเองต้องกลายเป็นผีโพง
Advertisement
Advertisement
นั่นคือความน่ากลัวที่แท้จริง
มากกว่าการพบเจอวิญญาณที่แสนเลวร้าย คือการรู้ว่ามีวิญญาณร้ายรอบกาย แต่ไม่อาจจะเจาะจงได้ว่ามันคือใคร
แม้กระทั่งงานปิดทองฝังลูกนิมิตปีนั้นก็ยังซบเซา ยายพาผมไปเที่ยวงาน แต่ไม่กล้าซื้ออะไรกินเลย ความหวาดกลัวทำให้คนเราวิตกไปทั่ว ถึงขนาดที่ว่าพ่อค้าแม่ค้าต้องไปขอน้ำมนต์จากโบสถ์มาพรมอาหารที่ตนขายเพื่อยืนยันว่าอาหารของตนเองไม่มีน้ำลายผีโพงแน่นอน
ผมตื่นตากับชิงช้าสวรรค์ ในตอนนั้นเป็นอะไรที่มันน่าสนุกมากๆ ผมเดินไปนั่นมาที่กระทั่งมือที่จับกับยายเผลอปล่อยหลุด และเราพลัดหลงกัน ผมรู้ดีว่าต้องเดินไปที่เวทีกลาง ไปหาโฆษกของวัดเพื่อให้เขาประกาศตามหายายให้ ผมหันซ้ายมองขวาหาแสงไฟจากเวทีที่สว่างที่สุด เมื่อเห็นแสงเรือรองสว่างไสวเนื้อท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่อีกทาง ผมจึงเลือกที่จะวิ่งตัดลานวัดไป มันอาจจะมืดไปเสียหน่อยแต่ก็ใกล้กว่า ทำใจดีสู้เสือหลับหูหลับตาสับขาวิ่งให้เร็วที่สุด
Advertisement
Advertisement
แล้วผมก็พบกับยายเสมียน ผมจำแกได้ แกเป็นแม่ของลุงที่เป็นบ้า นาทีนั้นผมใจชื้นแล้ววิ่งเข้าไปหา
“ไปไหนครับยายเหมียน ?” ผมเอ่ยถามด้วยความเดียงสา แล้วอีกฝ่ายก็หันมา
รูปร่างและอะไรต่างๆ ทำให้ผมมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือยายเหมียน แต่เมื่อหันมา ผมกลับมองไม่เห็นใบหน้าของแก เพราะแสงสว่างสีส้มเรื่อเรืองรองในความมืดนั้นแยงตาจนผมตกตะลึง นึกถึงเรื่องเล่าของยาย ว่าผีโพงจะมีแสงอยู่ที่ใบหน้า ผมผงะล้มตึง แข้งขาอ่อนเปลี้ยไปหมด กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว หลับตาแน่นไม่มองอะไรทั้งนั้น เมื่อได้พบกับผีโพงจริงๆ ซึ่งๆ หน้า ผมแหกปากโวยวายไม่เป็นภาษามนุษย์ในวินาทีนั้น ไม่สนใจอะไรเลย รู้ตัวอีกครั้งก็มีคนมากมายรายล้อมผม ทุกคนดูตกอกตกใจ และยายที่นั่งกอดผมร้องห่มร้องไห้ด้วยความห่วงใย
ราวกับถูกฉุดวิญญาณออกจากร่าง สติของผมเลือนรางเต็มที แต่ผมจำได้แม่นว่าตอนนั้นผมพูดออกไปว่า
“ยายเหมียนเป็นผีโพง”
รุ่งเช้า ทุกคนก็พบว่ายายเหมียนนอนตายกลายเป็นศพเหม็นเน่าอยู่ในห้องของตนเอง ประหนึ่งว่าตายมานานแล้ว
เหตุการณ์ต่างๆ กลับมาเป็นปกติ ผมหวาดกลัวและรู้สึกไม่ดีที่ทำให้ยายเหมียนต้องตาย แต่ชาวบ้านกลับชื่นชมในการกระทำของผม ว่าเป็นฮีโร่ ช่วยให้ความสุขสงบกลับมายังหมู่บ้านนั้นอีกครั้งหนึ่ง
แต่เปล่าเลย...ทุกอย่างไม่ได้สวยหรูเหมือนละครตอนจบ เพราะสามคืนหลังจากเผาศพยายเหมียนไปแล้ว ก็ยังคงมีคนหากบหาเขียดเล่าว่าเจอผีโพงออกมาหากินกบกินเขียดที่ทุ่งนา
แล้วผีโพงตนนั้นคือใคร ?
ยายเหมียนตายไปแล้ว ลูกชายที่วิกลจริตของนางก็ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวท ส่วนลูกสาวที่โดนไฟคลอกก็ถูกแม่ที่หย่ากับพ่อของเธอพาย้ายไปอยู่ที่ต่างอำเภอ
มีสองคำถามที่เกิดขึ้นในเวลานั้นอีกครั้ง
ผีโพงตนใหม่คือใคร
และยายเหมียน...ทำไมถึงต้องทำของใส่ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองจนกลายเป็นบ้าด้วย ?
เรื่องราวตรงนี้เป็นปริศนามามากกว่าสิบปี หลังจากที่เกิดเหตุนั้น ยายก็พาผมย้ายมาอยู่กับแม่ที่จังหวัดภูเก็ต ตั้งรกรากรับเหมาก่อสร้างที่นี่
หลายปีก่อนได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านและญาติสนิทมิตรสหายในช่วงปีใหม่ จึงได้รับฟังความจริงที่ยิ่งกว่าของโศกนาฏกรรมที่แสนยาวนาน
ญาติคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ผีโพงตนสุดท้ายตายไปแล้วเมื่อเดือนก่อน ซึ่งนั่นก็คือลูกสาวของลุงผู้เสียจริตนั่นเอง ความจริงที่ว่าก็คือ คนที่เป็นต้นเหตุทั้งหมดคือภรรยาผู้เลิกรากับคุณลุงผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงคนนั้น นางหมายสมบัติอันเป็นที่นาและไร่ส้ม แต่กลับไม่สามารถเอามาเป็นของตนได้ เพราะถูกแม่ผัวกีดกัน นางจึงทำของใส่แม่สามีให้ผีโพงไปแฝงร่าง ก่อนจะให้ออกหลอกหลอนผู้คน และเป็นเธออีกครั้งที่ทำของให้สามีต้องเสียจริตกลายเป็นบ้าและตายคาโรงพยาบาลไปเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อวันเวลาผ่านไป ไสยขาวก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น หมอผีจึงจัดการทำพิธีไล่ผี ทำบุญหมู่บ้านและทำลายวิญญาณของผีโพง แต่นางกลับคายน้ำลายให้ผู้เป็นลูกสาวรับสืบทอดอย่างไม่เต็มใจ และเมื่อเดือนก่อน ลูกสาวคนนั้นก็ผูกคอตายพร้อมกับจดหมายลาตายที่เล่าความจริงทั้งหมดให้ชาวบ้านรับรู้
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นและจบลงที่ความโลภอันเป็นใหญ่ เพราะอยากได้อยากมีจึงต้องหาหนทางวิธีมาข่มขู่และแย่งชิง ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครที่จะได้ผลดีจากการกระทำเลวทรามนั้น
ตำนานผีโพงสิ้นสุดลงไปเมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับมนุษย์เรามากขึ้น
ทว่าบรรทัดสุดท้ายของจดลาตายหมายนั้น
“แม่ปลูกว่านผีโพงไว้สักที่ในป่าชายเขา หามันให้เจอแล้วเผามันทิ้งซะ...เพื่อให้ทุกอย่างจบลงจริงๆ ลาก่อน”
แน่นนอน...ว่าทุกคนรับรู้ได้อย่างแรงกล้า
มันจะไม่มีวันจบลง
จบ
ขอบคุณภาพปกประกอบจาก https://media1.mensxp.com/media/content/2018/Oct/lsquo-tumbadd-rsquo-is-being-called-india-rsquo-s-finest-horror-film1400-1539351164_1400x653.jpg
ความคิดเห็น






