อื่นๆ

ทุกคนต้องมีครั้งแรกเสมอ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ทุกคนต้องมีครั้งแรกเสมอ

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงเดือนเมษายน ปี 2556 ผมกับเพื่อนอีก 2 คนวางแผนไปเที่ยวหัวหินฉลองเรียนจบกัน สาเหตุที่เลือกหัวหิน เพราะมีเพื่อนเปิดห้องเช่ารายวันอยู่ที่นั้น

เราออกเดินทางโดยการขับรถไปกันเองเพื่อความสะดวกสบาย ระหว่างเดินทางผมค้นหาคลื่นวิทยุเป็นการใหญ่ แต่ก็ไม่เจอคลื่นที่ถูกใจ ผมจึงเปิด “เดอะช็อค” ในมือถือแทน เพราะไม่รู้จะฟังอะไร และต้องการแกล้งเพื่อนในรถ แต่ทั้งสองคนกลับไม่รู้สึกอะไรแถมยังเมินต่อเรื่องผีที่ผมเตรียมมาอีก(เจ็บใจ) ท่ามกลางความเงียบ เพื่อนคนนึงพูดขึ้นมา

เคยเจอผีไหม?

ผมตอบอย่างรวดเร็วว่า "ไม่เคย แต่ก็ไม่อยากเจอ ที่ฟังเพราะว่าอยู่กันหลาย ๆ คนแล้วสนุกดี รู้สึกตื่นเต้น" ผมตอบยาว ๆ เพราะรู้ว่าจะมีคำถามอะไรตามมาอีก และความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง ระหว่างที่ทุกคนเงียบกันอยู่ จู่ ๆ ผมก็คิดในใจขึ้นมาว่า...

Advertisement

Advertisement

ทริปนี้คงไม่เป็นอย่างในเดอะช็อคหรอก

ผมทำลายความเงียบด้วยการชวนเพื่อนดูชื่อโรงแรมและรีสอร์ทที่รถขับผ่านและล้อเลียนกันอย่างสนุกปาก(ชื่อโรงแรมในหัวหินจะมีเอกลักษณ์อยู่)

เมื่อถึงหัวหิน ผมไม่รอช้าที่จะโทรหาเพื่อนอีกคน เพื่อเข้าที่พัก เพื่อนรับสายและพูดขอโทษก่อนที่จะอธิบายว่า "มานอนที่นี่ไม่ได้แล้ว เพราะแฟนชั้นลืมว่าพวกแกจะมาและให้ห้องกับคนอื่นไปแล้ว แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ชั้นหาที่พักให้แล้ว ไม่ไกลจากบ้านชั้น แถมราคาเท่ากันเลย”

ผมแอบผิดหวังนิดหน่อย แต่ความผิดหวังก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อถึงห้องพัก เปิดประตูเข้าไปด้านซ้ายจะเจอโซฟา และเตียงนอน 3 เตียง เรียงต่อกัน ถัดจากเตียงที่ 3 จะมีกำแพงแบ่งเป็นช่องเล็ก ๆ สำหรับเป็นที่เก็บของและห้องแต่งตัว ถัดไปอีกจะเจอประตู เมื่อเปิดเข้าไปจะเจอห้องครัวเล็ก ๆ มองไปทางซ้ายจะเจอกับห้องน้ำ เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปถึงกับร้องโอ้โห้ เป็นห้องน้ำที่ใหญ่มาก สามารถใส่อ่างอาบน้ำ และเตียงคิงไซต์ได้อย่างสบาย ๆ (พูดจริง ๆ นะ) ผมและเพื่อน ๆ พอใจกับที่พักที่ใหม่ของเรามาก ห้องใหญ่และยาวจริง ๆ

Advertisement

Advertisement

หลังจากปลื้มกับห้องพักคืนนี้แล้ว ผมถามเพื่อนว่า ตอนเข้ามามีใครเห็นศาลพระภูมิบ้างไหม ยังไม่ได้ไหว้เลย แต่ไม่มีใครเห็น ผมบอกว่าไว้ตอนกลับจากเที่ยวค่อยมาไหว้อีกทีก็ได้ หลังจากนั้นพวกผมจึงขึ้นรถและออกไปตะลุยเมืองหัวหินจนมืด ก่อนกลับที่พักได้แวะซื้อเครื่องดื่มแต่ไม่มีน้ำแข็ง ผมและเพื่อนวนรถหาซื้อน้ำแข็งรอบเมืองหัวหินแต่หมดทุกร้าน คงเป็นเพราะช่วงเทศกาลวันหยุด พวกผมจึงตัดใจและกลับห้องพักทันที ด้วยความที่เป็นเด็กจบใหม่ไฟแรง ทุกคนจึงงัดคอมพิวเตอร์ออกมาและนั่งทำงานต่อ…

work

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน จู่ ๆ ก็มีเสียงดังปั้ง! มันดังจนผมกระโดดลุกเตียงมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมวิ่ง 4x100 เมื่อตั้งสติได้ ผมมองไปที่ประตู ประตูปิดอยู่ ผมคิดในใจว่าสงสัยเสียงดังเมื่อครู่คงเป็นเสียงฟ้าร้อง หรือห้องข้าง ๆ มั้ง หันกลับมามองเพื่อน ๆ ก็เห็นทั้งคู่ยังนอนหลับอยู่ คงไม่มีอะไร จึงเดินไปห้องน้ำ ช่วงเวลาก่อนที่จะเปิดประตูห้องครัวเพื่อทะลุไปห้องน้ำ ผมได้ยิินเสียงคนปิดประตูจากข้างใน ผมขนลุกทั้งตัว และหันไปมองเพื่อนที่นอนอยู่อีกครั้ง ทั้งคู่นอนอยู่จริง ๆ ตาไม่ฟาด แล้วตอนนี้ใครอยู่ข้างใน… ระหว่างที่ผมยืนตัวแข็งอยู่ ผมก็ได้ยืนเสียงชักโครกในห้องน้ำ และเสียงเปิดประตู มีเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผมก้าวขาไม่ออก และไม่รู้ว่ายืนตัวแข็งแบบนี้อยู่นานแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกทีเสียงคนเดินก็มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ผมรู้สึกได้ ถึงแม้จะมีประตูคั่นไว้ก็ตาม ตาของผมมองไปที่ลูกบิดประตู มันค่อย ๆ หมุน จากนั้นก็มีเสียงดังปั้ง! อีกครั้ง ผมขยับด้วยได้ แล้วหันหลังวิ่งไปอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่ผมเห็นคือประตูห้องที่เปิดกว้าง ผมวิ่งออกจากห้องแบบไม่คิดชีวิต จนลืมไปว่าในห้องยังมีเพื่อนนอนอยู่

Advertisement

Advertisement

เมื่อวิ่งออกมาที่ถนนใหญ่ ก็มีป้าคนนึงเรียก “อ้วนวิ่งหนีอะไรมา” ผมหันไปตามเสียง และวิ่งเข้าไปหา พร้อมกับเล่าเรื่องให้ฟัง หลังจากที่ป้าได้ฟังแล้ว ป้าไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมเจอ พร้อมกับพูดได้เสียงใจดีว่า “ไม่มีใครบอกหรอว่าที่นี่มีอะไร”

ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งบนเตียงนอนในท่านอนตะแคง ผมขยับตัวไม่ได้อีกแล้ว ยกเว้นตาของผม ผมเริ่มมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นอะไรไม่รู้ดำ ๆ รูปร่างคล้ายคน นั่งอยู่บนโซฟา ผมจึงเข้าใจทุกอย่างว่า ที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน และตอนนี้สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือของจริง ผมทำอะไรไม่ถูกเพราะขยับตัวไม่ได้ จึงค่อย ๆ หลับตาด้วยความกลัว ถึงผมจะหลับตาแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกได้ว่า “เขา” ยังนั่งมองผมอยู่ จากนั้นก็ค่อย ๆ ลุกมาหาผมช้า ๆ ผมได้แค่หลับตาปี๋… จู่ ๆ ผมก็ขนลุกทั้งตัว เมื่อรู้สึกว่าเตียงค่อย ๆ ยุบและรู้สึกเหมือนมีคนมานอนค่อม เสียงหายใจเข้ามาใกล้หูผมมากขึ้น ผมเริ่มน้ำตาไหล จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดเบาที่หูว่า...

กลัวหรอ

ผมเหมือนคนสติแตกพยายามดิ้นสุดชีวิต และร้องด้วยเสียงอู้อี้ ๆ ในลำคอ ผมไม่รู้ว่าร้องอยู่นานแค่ไหน จนได้ยินเสียงของเพื่อนเรียกว่า “เบนซ์เป็นอะไร” ผมขยับตัวได้ในทันทีเหมือนหลุดจากมนต์อะไรซักอย่าง ผมรีบวิ่งออกไปนอกห้อง และพบว่าฟ้าสว่างแล้ว ผมนั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องอยู่พักใหญ่ จนตั้งสติได้จึงค่อย ๆ เดินกลับไปในห้องแล้วเก็บข้าวของทันที เพื่อนทั้งสองของผม งง เป็นไก่ตาแตก สงสัยว่าผมเป็นอะไร ผมได้แต่บอกว่า เดียวไปคุยกันบนรถ หลังจากนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมก็จะไหว้ศาลพระภูมิอยู่เสมอ และเชื่อในสิ่งที่เจอว่ามันมีอยู่จริง ๆ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์