อื่นๆ

ต่างที่แต่เจอเหมือนกัน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ต่างที่แต่เจอเหมือนกัน

หน้าหนาวของวันพุธ กลางเดือนธันวาคม มีเสียงเรียกเข้าที่โทรศัพท์ของยายขาว

"ยายครับ" นี่ตั๊กเอง เสียงตั๊กหลานยายขาวคนเดิมที่โทรมาประจำ

"ว่ายังไงละ" โทรมามีเรื่องอะไรบ้าง ยายขาวถาม

"คือว่า ช่วยบอกน้องชลให้ด้วยครับว่า วันเสาร์นี้ช่วยรวบรวมรูปถ่ายที่ผมฝากไว้แล้วเอาใส่กล่องให้ผมด้วยครับ เดี๋ยวผมจะไปเอา"

"ได้ๆ นี่น้องชลก็นั่งอยู่กับยายด้วย เดี๋ยวมันจัดการให้ วันเสาร์เอ็งมาเอาได้เลย" ยายขาวบอกตั๊กพร้อมหันมาพยักหน้ากับน้องชล

ตอนเย็นของวันพฤหัสบดี ที่บ้านของน้องชล น้องชลได้นัดเพื่อนๆ 2 คนมาเที่ยวที่บ้าน ชื่อไก่ กับ วัตร แต่บ้านของไก่อยู่ใกล้ๆ จึงมาถึงบ้านของน้องชลก่อนวัตร บ้านของน้องชล อยู่สุดซอย ซอยนี้มีบ้านของน้องชลอยู่เพียงหลังเดียว และอยู่กลางสวนผลไม้ เนื้อที่ 10 ไร่ และรอบๆสวนผลไม้ที่น้องชลอาศัยอยู่ ก็จะมีแต่สวนที่ปลูกต้นยางพาราทั้งหมด จึงทำให้รอบๆบ้าน จึงมีแต่ต้นไม้รกทึบทั้งหมด 

Advertisement

Advertisement

 เมื่อไก่มาถึง ก็รู้สึกปวดปัสสาวะ จึงถือวิสาสะ ไปยืนปัสสาวะใต้โค่นต้นมังคุดหน้าบ้าน ที่หน้าบ้านของน้องชล จะมีต้นมังคุดต้นใหญ่ เรียงกัน 2 ต้น ระยะห่างประมาณ 5 เมตร ตอนไก่กำลังปัสสาวะอยู่ ก็เหลือบไปเห็นเงาดำๆ หลบอยู่หลังต้นมังคุดต้นที่อยู่ห่างออกไปอีกต้นหนึ่ง ลักษณะเหมือนจะแอบมองเขาอยู่ แต่แอบมองแบบชะเง้อมาแค่ครึ่งตัว ตอนนั้นไก่มองได้ไม่ชัด เพราะเป็นช่วงตอนเย็นใกล้ค่ำ หรือเป็นช่วงเวลา ที่คนเฒ่าคนแก่เรียกกันว่าผีตากผ้าอ้อม ไก่จึงเพ่งมองผ่าความมืดเพื่อดูว่าใครมาแอบยืนอยู่ตรงนั้นกันแน่ เป็นจังหวะเดียวกันที่ วัตร ขี่มอเตอร์ไซค์มาพอดี แสงไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ของวัตร จึงสาดส่องไปที่ต้นมังคุดต้นที่สอง ซึ่งเป็นต้นที่ไก่กำลังเพ่งมองอยู่พอดี ปรากฎว่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นซักคน ไก่จึงคิดว่าเขาตาฝาด และไม่ได้คิดอะไรและไม่ได้นำเรื่องนี้ไปบอกใคร

Advertisement

Advertisement

ค่ำวันนั้น น้องชล ไก่ และวัตร ก็นั่งดื่มกินกันปกติเหมือนทุกวัน แต่วันนี้มีเครื่องดื่มแค่ 3 ขวด จึงจิบไปเล่นเกมไป ตามประสาวัยรุ่น จนเวลาล่วงเลยไปถึงช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม น้องชลก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นนอกรั้วหน้าบ้าน ซึ่งรั้วหน้าบ้านจะห่างจากตัวบ้านของน้องชลประมาณ 6 เมตรลักษณะเสียงเหมือนมีใครมาบิดคันเร่งรัวๆ คล้ายมากวนหาเรื่อง แต่ฟังไปฟังมา เสียงแบบนี้มันเป็นเสียงมอเตอร์ไซค์ของไก่นี่นา

น้องชลจึงหันไปพูดกับไก่ว่า "สงสัยมีคนมาขโมยรถของไก่หน้าบ้านแล้วมั้ง ออกไปดูเร็ว"

แต่ไก่ กลับส่ายหน้าและบอกว่า "จะขโมยไปได้ไง ในเมื่อกุญแจรถก็อยู่ในกระเป๋าของเสื้อนี่ และตอนจอดรถ เราก็ล็อคคอรถมอเตอร์ไซค์ไว้เรียบร้อยแล้วด้วย"

อีกอย่างหนึ่ง บ้านหลังนี้อยู่สุดซอย ร้อยวันพันปี ถ้าไม่รู้จักกัน จะไม่มีใครเข้ามาในซอยนี้เลย ขณะที่ไก่พูด เสียงมอเตอร์ไซค์ก็ยังคงติดเครื่องดังอยู่เรื่อยๆ จึงทำให้น้องชลเริ่มหงุดหงิด เลยตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดประตูบ้านเพื่อจะไปดูให้รู้ด้วยตัวเอง เมื่อน้องชลเปิดประตูบ้านออกไป ไฟฟ้าเกิดดับขึ้นมาทั้งซอย ทั้งไฟส่องสว่างตามทาง และไฟฟ้าในบ้านของน้องชลด้วย ทำให้บรรยากาศรอบด้าน มืดและเงียบสนิท ได้ยินแค่เสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์หน้าบ้าน และมีแค่แสงไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ปริศนาที่จอดอยู่ตรงรั้วหน้าบ้าน แสงไฟจากหน้ารถมอเตอร์ไซค์คันนั้น สว่างจนทำให้เห็นร่างที่ยืนบังไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์อยู่นั้นอย่างชัดเจน ถึงแม้จุดที่น้องชลยืนอยู่จะห่างจากรั้วหน้าบ้าน 6 เมตร แต่ระยะแค่นี้ก็สามารถเห็นได้ว่า คนที่ยืนอยู่ที่รั้วหน้าบ้านคือใคร เพื่อนๆที่อยู่ในบ้าน ก็รอลุ้นกันอยู่ว่าใครกันแน่ที่มาเร่งเครื่องกวนประสาทอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน แต่ต่างคนก็กำลังช่วยกันจุดเทียนเพื่อส่องสว่างภายในบ้านอยู่ จึงได้แต่รอคำตอบจากน้องชลเท่านั้น

Advertisement

Advertisement

แต่ยังไม่ทันที่เพื่อนๆในบ้านจะถามน้องชลว่าใครอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน น้องชลก็กระโดดเข้ามาในบ้านและปิดประตูดังปังอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งแสดงอาการสั่นทั้งตัว ขนลุก น้ำตาคลอเบ้า ตาค้าง พร้อมทั้งบอกเพื่อนๆว่า คนที่อยู่ที่รั้วหน้าบ้าน มีแค่ครึ่งตัว และมีแต่หน้า ไม่มีตา จมูก และปากเลย พูดเสร็จน้องชลก็ลงไปนั่งกับพื้นเอาหลังชิดกำแพงบ้าน ประมาณว่าเข่าอ่อนไปเลย

เมื่อไก่ได้ยินที่น้องชลพูด ก็เผลอตะโกนออกมาว่า "งั้นก็ผีนะสิวะ" พร้อมทั้งทรุดตัวลงไปนั้งชิดกำแพงบ้านติดกับน้องชล

ไก่กับน้องชลนั่งเบียดกัน ในมือก็ถือเทียนกับโทรศัพท์มือถือที่จู่ๆ สัญญาณก็ไม่มีซะงั้น แต่วัตรกลับแข็งใจ ใช้โทรศัพท์มือถือเปิดไฟแฟลชและเดินไปเปิดประตูบ้าน พร้อมทั้งออกไปนอกบ้านที่รั้วและส่องไฟหาต้นตอของเสียง และหาสิ่งที่น้องชลเห็น ปรากฎว่า รถมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ดับไปแล้ว ทุกอย่างเงียบสนิท และไม่มีสิ่งที่น้องชลพูดถึงเลย วัตรจึงสรุปให้ว่า น้องชลตาฝาด ถึงแม้จะรู้ว่า น้องชลดื่มไปแค่แก้วเดียว คงไม่ทำให้ถึงขนาดหลอนและมโนภาพไปเองก็ตาม และเสียงมอเตอร์ไซค์ที่ได้ยิน วัตรบอกว่า คงเป็นคนต่างถิ่นที่หลงทางเข้ามาผิดซอยก็เป็นได้

เที่ยงคืนผ่านไป ก็ยังไม่มีทีท่าว่าไฟฟ้าจะกลับมาสว่างเป็นปกติ ทำให้ตอนนี้เทียนใกล้จะหมด เพราะน้องชลไม่เคยเตรียมตัวว่าไฟฟ้าจะดับตอนกลางคืนเลย ทำให้ทุกคนกังวนว่า ถ้าเทียนหมด แล้วไฟฟ้ายังไม่สว่างเป็นปกติ คงต้องทนอยู่ในความมืด แบตเตอรี่โทรศัพท์ก็ใกล้จะหมดหรืออีกทางเลือกหนึ่งคือ ต้องออกไปซื้อเทียนมาเพิ่ม แต่ร้านค้าที่จะออกไปซื้อเทียน ก็ไกลจากบ้านของน้องชลประมาณ 2 กิโลเมตร และระหว่างทาง ก็ไม่มีบ้านคนเลย อีกอย่าง หากไฟดับแบบนี้คงไม่มีใครเปิดร้านรอโจรมาปล้นแน่ๆ และที่สำคัญ เหตุการณ์เมื่อตอน 4 ทุ่ม มันยังติดตา และวนเวียนอยู่ในความคิดของทุกคนไม่หาย

ขณะที่ทุกคนกำลังคิดและปรึกษากันอยู่ เสียงมอเตอร์ไซค์ปริศนาก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ทุกคนหันมามองหน้าพร้อมกัน ไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดๆ แค่มองตาก็เข้าใจ แต่ครั้งนี้ ทุกคนพยักหน้า และกอดคอกันไปที่ประตูบ้าน จุดประสงค์คือ ต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ น้องชลเริ่มนับ 3 - 2 - 1 พร้อมทั้งเปิดประตูบ้านไปสุดแรง ทั้งสามพร้อมใจกันก้าวออกจากบ้านและมุ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ปริศนาที่ติดเครื่องรออยู่ที่รั้วหน้าบ้านคันนั้น เมื่อทั้งสามคนไปถึงที่รั้วหน้าบ้าน ซึ่งเป็นแค่ตระแกรงเหล็กห่าง แม้แต่สุนัขยังลอดได้ ทั้งสามก็เข่าอ่อน ทรุดตัวลงไปกองที่พื้นพร้อมกัน น้องชลรู้สึกโล่งใจ เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้า คือพี่ก้อยนั้นเอง

พี่ก้อยคือญาติของน้องชล เมื่อพี่ก้อยเห็นทั้งสามคนมีอาการสั่นเหมือนลูกนก ก็ถามว่าเป็นอะไรกัน น้องชลและเพื่อนๆ จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอน 4ทุ่มให้พี่ก้อยฟัง พี่ก้อยทำท่าทางตื่นกลัว แล้วรีบบอกให้น้องชลและเพื่อนๆรีบเข้าบ้าน เพราะมีเรื่องจะบอก เมื่อเข้ามาในบ้าน พี่ก้อยจึงบอกให้ น้องชล ไก่ และวัตร ให้ตั้งใจฟังให้ดีๆ แล้วพี่ก้อยก็แจ้งข่าวร้ายว่า อาตั๊ก เสียชีวิตแล้ว เสียชีวิตขณะเดินทางจากต่างจังหวัดจะมาทำธุระที่สุราษฎร์ธานี แต่เกิดอุบัติเหตุกลางทางซะก่อน ตอนนี้กำลังเอาศพมาที่ศาลาบำเพ็ญกุศลศพอยู่ ตอนนี้ญาติๆก็ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด และพี่ก้อยบอกว่า ตอนที่พี่ก้อยกำลังช่วยเก็บกวาดศาลา เพื่อรอรถมูลนิธิที่กำลังนำศพอาตั๊กมา ไฟฟ้าก็เกิดดับทั้งหมด ทั้งตลาดฝั่งตรงกันข้าม และบ้านเรือนใกล้ๆก็มืดสนิท ประมาณว่าดับทั้'หมู่บ้านเลยก็ว่าได้

พี่ก้อยจึงเดินไปนั่งข้างๆมุมที่เก็บเก้าอี้ ซึ่งเป็นเก้าอี้พลาสติกที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ สูงประมาณ 2 เมตร และเรียงกันเป็นแถวๆ แต่จะมีช่องว่างอยู่หนึ่งช่องเว้นไว้ประมาณพอให้คนหนึ่งคนไปยืนได้ ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมต้องเว้นเอาไว้ พี่ก้อยกำลังจะเดินไปเอาเก้าอี้เพื่อมานั่งรอศพ ในระหว่างที่ไฟดับและตอนนั้นเอง พี่ก้อยก็สังเกตุว่า มีเงาดำๆ ยืนอยู่ตรงเก้าอี้ บริเวณช่องที่เว้นว่างเอาไว้ พี่ก้อยไม่ได้คิดอะไร จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดแฟลช แล้วส่องไปดูตรงที่เห็นเงาดำๆยืนอยู่ ปรากฎว่าเงาที่พี่ก้อยเห็นนั้นคล้ายคนแต่มีแค่ครึ่งตัวไม่มีท่อนล่างและที่สำคัญ เงานั้น มีแต่หน้า พี่ก้อยจึงตัดสินใจวิ่งออกมา แล้วสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์มาที่บ้านน้องชลทันที

ทุกคนเลยสรุปได้ว่า ทั้งที่พี่ก้อย น้องชลและไก่เห็นนั้นเป็นเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่เท่านั้นเองเป็นคำถามว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร มาปรากฎให้เห็นเพื่ออะไรหากย้อนเหตุการณ์กลับไป จะจำได้ว่า อาตั๊ก โทรมาสั่งยายขาวไว้ว่า ให้น้องชลรวบรวมรูปถ่ายที่อาตั๊กฝากไว้แล้วเอาใส่กล่องด้วย เพราะอาตั๊กจะมาเอาในวันเสาร์ แต่แกดันเสียชวิตซะก่อนหรือสิ่งที่เห็นแค่ครึ่งตัว และมีแค่ใบหน้า ก็คืออาตั๊กและแกมาเอาของที่แกสั่งไว้ตามสัญญา

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์