อื่นๆ

วิญญาณตามติด

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
วิญญาณตามติด
  • หลังจากการเดินทางไปทำธุระต่างจังหวัด และได้ไปพบเห็นวิญญาณลูกทัวร์ที่เกิดอุบัติเหตุ รถทัวร์พุ่งตกเหว (ติดตามได้จากเรื่อง "เดินทางตอนกลางคืน กับทางสายเปลี่ยว") ผมจึงตั้งใจว่าจะไปทำบุญที่วัด แต่การทำบุญที่วัดของผม มักจะไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขาสักเท่าไหร่ ผมจะเลือกวัดที่อยู่ในป่า ห่างไกลความเจริญ หรือไม่ก็เป็น สำนักสงฆ์ เพราะเป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรม ของพระธุดงค์ ที่ผ่านมาหรือตั้งใจมาบำเพ็ญเพียรจิต ดังนั้น ผมจึงต้องเสาะหาข้อมูล และถามไถ่คนไปเรื่อย เมื่อมีโอกาศ

จนกระทั่ง ได้พบวัดป่าแห่งหนึ่ง จากการแนะนำของแม่ค้าที่เปิดร้านขายข้าวราดแกงเล็กๆในหมู่บ้านที่ผมผ่านโดยบังเอิญ เมื่อรู้ชื่อวัด ผมก็หาแผนที่เพื่อดูเส้นทาง และดูวันว่างของผมเอง เพื่อหาทางจะไปทำบุญให้กับสรรพสิ่งทั้งหลาย เมื่อได้วันว่างแล้ว ผมก็ไม่รอช้า ที่จะซื้อหาปัจจัยสำหรับไปถวายให้พระที่วัดป่าในวันเดินทาง ผมพิมพ์แผนที่ใส่กระดาษ เพื่อง่ายในการดูเส้นทาง จะให้พึ่งพา จีพีเอสนำทาง อย่างเดียวก็คงไม่เหมาะนัก ผมออกเดินทางแต่เช้า ไปตามแผนที่เรื่อยๆ ผ่านไปประมาณ 35 กิโลเมตร ผมก็พบกับทางแยก ซึ่งเป็นทางลูกรัง มีป้ายบอกทางไปวัดที่ผมต้องการจะไปพอดี ผมจึงเลี้ยวเข้าเส้นทางลูกรังอย่างไม่ลังเล ระหว่างทาง จะเป็นสวนต้นยางพารา สลับกับสวนต้นปาล์ม ไม่มีบ้านคนเลย มีแต่กระต๊อบ ที่สร้างไว้พักพิงชั่วคราว ผมนึกในใจว่า แล้วพระที่วัด ตอนออกมาบิณฑบาต ต้องเดินไกลเท่าไหร่เนี้ย กว่าจะเจอบ้านซักหลัง หรืออาจจะมี ญาติโยม นำปัจจัยหรือปิ่นโต ไปถวายถึงวัดทุกวันกันแน่ ผมขับรถมาได้ซักพัก ทางขรุขระมาก จนไม่สามารถขับเร็วได้ นึกในใจว่า นี่ก็ขับมา 4 ถึง 5 กิโลเมตรแล้ว ยังไม่เจอวัดอีก หรือเราจะเข้าทางผิด อาจจะมีใครนึกสนุก เอาป้ายหลอกๆมาปักไว้ก็ได้

Advertisement

Advertisement

ไม่ทันที่ผมจะจอดเพื่อกลับรถ ก็มีลุงแก่ๆ ปั่นจักรยานเก่าๆ เสียงดัง เอี๊ยด! อ๊าด! ผ่านมาพอดี ผมจึงโบกมือเรียก " ลุงๆ วัดป่าไปทางนี้หรือเปล่าครับ " ลุงทำหน้า งงๆ แล้วก็พยักหน้า ผมจึงถามต่อว่า " ไปอีกไกลไหมครับ และมีแยกให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาหรือเปล่า " ลุงแกจึงบอกว่า " ไปตามทางเรื่อยๆเลย อีก 1 กิโลเมตรก็ถึงแล้ว ว่าแต่ เอ็งมีธุระอะไรที่วัดเหรอ เดี๋ยวนี้ ไม่เห็นมีใครเข้าไปนานแล้ว" ผมนึกดีใจ วัดแบบนี้แหละที่ผมอยากมาทำบุญ ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ไม่โด่งดังในโลกโซเชียล คงรู้สึกสงบและได้บรรยากาศวัดอย่างแท้จริง " อ๋อ! ผมไปทำบุญครับ ขอบคุณมากครับลุง " ผมพูดจบก็ยกมือไหว้ลุง ก่อนจะออกเดินทางต่อไป

ขับมาได้ 1 กิโลเมตร ตามที่ลุงบอกพอดี ผมก็เจอป้ายไม้เก่าๆ ปักไว้ใต้ต้นไม้ เขียนว่า " วัดป่าตรงไป " โอ้โห! ทางที่จะเข้าไปในวัดตามที่ป้ายบอก มันพอดีกับรถยนต์พอดีเลยครับ ใครขับรถใหม่ๆมา เป็นต้องเปลี่ยนใจหันหลังกลับ เพราะเศษกิ่งไม้ และหญ้าคา คงกรีดสีรถจนเป็นรอยถลอกเป็นแน่ ขับมานิดเดียวจากที่ป้ายบอก ผมก็เจอประตูไม้ทางเข้าผุๆ มีเถาวัลย์คลุมจนแทบมองไม่เห็น ผมขับตรงเข้าไป ก็เจอวัดตั้งตระหง่านอยู่กลางแจ้ง มีต้นไม้น้อยใหญ่ล้อมรอบ ตัววัดสร้างจากอิฐก้อนใหญ่แทบทั้งหมด ผมนึกในใจ " นี่มันปราสาทหินชัดๆ " และยังงงๆ ว่าทำไมไม่มี เมรุเผาศพ หรือศาลาการเปรียญเลย แม้กระทั้ง กุฏิก็ไม่มี ผมจอดรถใกล้ๆวัดที่ผมเรียกว่าปราสาทหิน ดับเครื่องยนต์ แล้วเดินลงไป " หลวงพ่อ! หลวงพี่! มีใครอยู่บ้างครับ " เงียบกริบ บรรยากาศเหมือนวัดร้างยังไงอย่างไรอย่างงั้น หรือพระไม่อยู่ ไปธุดงค์ที่อื่น แต่สายตาผมก็เหลือบไปเห็นจีวร ที่ตากไว้ใต้ต้นไม้ แสดงว่าต้องมีพระอยู่ที่นี่แน่นอน ผมทำท่าจะเดินไปที่จีวรที่ตากอยู่ ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะได้ยินเสียงเรียกของใครบางคน " มีธุระอะไรหรือโยม " ผมโล่งใจ เมื่อหันไปเห็นหลวงตาเดินมาจากในป่า หลวงตาดูเป็นพระสงฆ์ที่อายุมากแล้ว ท่านชวนผมเข้าไปในปราสาทหินที่ผมตั้งชื่อให้เอง

Advertisement

Advertisement

" เป็นไงมาไงละโย ถึงมาที่นี่ได้ " หลวงตาถามผม ผมจึงเล่าเหตุการณ์ครั้งที่ผมไปธุระต่างจังหวัดแล้วเจอผีลูกทัวร์ให้ฟัง พร้อมทั้งนำสังฆทานและปัจจัย ข้าวสารอาหารแห้ง ถวายให้หลวงพ่อ หลวงพ่อรับ และให้พรเหมือนทุกๆที่ หลังจากหลวงพ่อให้พรเสร็จ ท่านก็บอกให้ผมทำบังสุกุลเป็น ด้วยการลงไปนอนในโลง 1 คืน เพื่อปัดเปาสิ่งชั่วร้ายที่ตามติด ประมาณว่าทำให้เหมือนได้เกิดใหม่กันเลยทีเดียว ผมนึกในใจ นี่มันร้ายแรงขนาดต้องนอนในโลงเลยหรือ นอนในโลง ผมไม่กลัวหรอก แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าตื่นขึ้นมารถจะหาย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองหลวงตา ผมก็พยักหน้าตกลงทันที เพราะแววตาของท่านน่าศรัทธรามาก

คืนนั้น ผมได้นอนในโลงเป็นครั้งแรก แต่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ตอนแรกก็กลัวๆอยู่ แต่เมื่อได้ยินเสียงหลวงตาสวด และเทศนาธรรมให้ฟัง ผมก็รู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างกายเย็นสบาย ยุงไม่กัด ไม่หิว และเคลิ้มหลับไปในที่สุด

Advertisement

Advertisement

ตอนเช้า มีเสียงเรียกและเสียงเคาะฝาโลงที่ผมนอนอยู่ ผมตื่นขึ้นมาและเปิดฝาโลง ก็ต้องงงกับภาพที่เห็น เพราะทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่มูลนิธิ และชาวบ้าน มามุงดูผมคนเดียวนับสิบคน ชาวบ้านก็งง ว่าผมเข้ามานอนในโลงได้ยังไง ถามกันไปถามกันมาจนผมตอบคำถามไม่ทัน สุดท้าย ผมจึงรู้ว่า ผมนอนอยู่ที่วัดร้าง ที่ไม่มีทางให้รถเข้ามาเลย แถมรถของผมก็จอดอยู่หน้าบ้านใครก็ไม่รู้ สังฆทาน และปัจจัยต่างๆที่ผมนำมา ก็ยังวางอยู่ แต่เมื่อถามถึงหลวงตาที่ผมเจอ ทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านมรณภาพไปนานหลายปีแล้ว

ผมได้ขับรถเดินทางกลับ พร้อมคำถามมากมายในหัว จนนึกได้ว่า แม่ค้าร้านข้าวราดแกงเป็นคนแนะนำให้ผมมา เขาต้องรู้อะไรแน่ๆ ผมจึงแวะหาแม่ค้าข้าวแกงเพื่อหาคำตอบ แต่เมื่อผมไปถึง และถามหาแม่ค้าขายข้าวราดแกง สามีของเธอก็บอกผมว่า แกเสียชีวิต หลังจากที่ผมออกจากร้านของแกได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมง ด้วยโรคประจำตัวของแกเอง.

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์