อื่นๆ

สองขา..พาสยอง

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
สองขา..พาสยอง
  • ผมเคยทำงานอยู่ที่บริษัทเหมืองแร่แห่งหนึ่งทางภาคใต้ ลักษณะงานของผมคือพนักงานทั่วไป ประมาณว่า มีอะไรที่เจ้านายสั่งก็ทำมันหมดทุกอย่าง เริ่มงาน 8 โมงเช้า แต่เวลาเลิกไม่แน่นอน ถ้าปกติไม่มี โอที หรือ งานเสริมนอกตำแหน่งก็เลิก 5 โมงเย็น เนื้อที่เหมืองแร่ที่ผมทำอยู่ มีกี่ไร่ผมจำไม่ได้ แต่น่าจะเกิน 200 ไร่ เป็นพื้นที่หลุมลึกเกิดจากการขุดเจาะเพื่อเอาแร่ยิปซั่ม ภายในเหมืองแร่ จะมีร้านค้า ร้านขายข้าว และบ้านพักคนงานอยู่สุดเขตเหมืองแร่พอดี เวลาจะไปซื้อเครื่องดื่ม หรือไปนั่งพักตอนเวลาว่าง ต้องขับรถจากออฟฟิศ ผ่านสวนต้นยางไปประมาณ เกือบ 1 กิโลเมตร บรรยากาศร้านค้าร่มรื่น มีต้นไม้ล้อมรอบ และมีบ้านพักคนงานแรงเป็นแถวๆ อย่างเป็นระเบียบ คงเป็นเพราะมีต้นไม้ปกคลุมให้พอคลายร้อยได้ พวกร้านค้าและบ้านพักคนงานจึงมาสร้างไว้จนสุดเขตแดนทำเหมือง เพราะส่วนพื้นที่ๆเป็นแร่ยิปซั่ม จะไม่มีต้นไม้เลยสักต้น พูดง่ายๆว่าตอนกลางวันนี่ร้อนมาก พนักงานส่วนจึงผิวดำเกรียมแทบทุกคน

Advertisement

Advertisement

ชีวิตประจำวันของผมคือ ตื่นนอน ไปตอกบัตรเข้างาน พักเที่ยง ทำโอที และเลิกงาน ผมจะอาศัยช่วงเบรคตอนเลิกงาน เพื่อรอพนักงานกะตอนเย็นเข้าทำงาน มานั่งดื่มกับพนักงานกะเช้าที่เลิกงานแล้ว อยู่ทุกวันเลยก็ว่าได้ และก็เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ผมต้องทำโอทีร่วมกับพนักงานกะตอนเย็น แต่วันนี้ฝนตกปรอยๆ ตั้งแต่ตอนเที่ยง จนกระทั่งเริ่มจะมืดแล้วก็ยังไม่หยุดตก ปริมาณน้ำที่หลุมขุดแร่เริ่มเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ทุกฝ่ายต้องรีบระบายน้ำออกอย่างโดยด่วน ก่อนที่น้ำจะพาเศษดินมากลบหน้าแร่ที่ขุดไว้ และทำให้เสียหายในการขนส่ง ผ่านไปถึงเวลาประมาณเกือบเที่ยงคืน ฝนก็หยุดตก และพนักงานก็สามารถระบายน้ำออกจากหลุมขุดแร่ได้ทัน ทุกคนต่างเริ่มทยอยตอกบัตรเพื่อบันทึกเวลาก่อนกลับบ้าน ซึ่งเหลือผมอยู่คนเดียวที่กลับช้ากว่าพนักงานคนอื่น ผมนั่งโทรศัพท์รายงานเจ้านายอยู่ที่ร้านค้าภายในเหมืองแร่ จนร้านค้าปิด ผมก็ขับรถเพื่อจะไปตอกบัตรเลิกจากงานที่ออฟฟิศ ระหว่างทาง ผมต้องขับรถผ่านสวนต้นยาง ซึ่งปลูกอยู่ 2 ข้างทาง ความสูงของต้นยางปกคลุมถนนเล็กๆที่ผมขับจนไม่เห็นแม้แต่แสงจันทร์

Advertisement

Advertisement

แต่โชคร้าย ที่ตอนนี้ น้ำฝนที่ท่วมขัง ได้กัดเซาะถนนจนขาดกลาง ไม่มีรถคันไหนสามารถผ่านได้เลย มืดก็มืด หนาวก็หนาว ตัวผมเปียกชุมไปด้วยน้ำฝนและเหงื่อจากการทำงาน ท้องก็ร้อง หิวข้าวมากๆ จึงตัดสินใจ ถอยรถกลับไปจอดที่ร้านค้า และเลือกที่จะเดินไปออฟฟิศ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดียวที่ผมใช้เดินทางไปออฟฟิศและกลับบ้าน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องผ่านทางนี้เพียงทางเดียว เดินผ่านสวนต้นยางมาได้ครึ่งทาง ผมก็ได้ยินเสียงพุ่มไม้เขย่ารัวๆ ไฟฉายก็ไม่มี โทรศัพท์มือถือก็เป็นแบบรุ่นปุ่มกด ไม่ได้เป็นแบบสัมผัสแบบรุ่นใหม่ๆ ไม่มีไฟแฟลชจากกล้องให้ใช้ ผมหันมองหาต้นเสียงว่าดังมาจากตรงไหน แล้วก็เหลือบไปเห็นพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง ซึ่งสั่นรัวๆเหมือนคนเขย่าอยู่ ไม่ต้องถามให้มากความ ผมก้มลงหยิบก้อนหินขนาดเท่ากำปั้น ปาจนสุดแรงเข้าไปที่พุ่มไม้นั้น เงียบ! ไม่มีแม้แต่เสียงแมวร้อง หรือเสียงคน แต่พุ่มไม้นั้นก็ยังเขย่าไม่หยุด ผมจึงเปิดโทรศัพท์มือถือ อาศัยแสงไฟเพียงน้อยนิดจากหน้าจอ เดินตรงเข้าไปที่พุ่มไม้ พร้อมกับก้มหยิบเศษไม้ผุๆมากำไว้ในมือ เมื่อถึงพุ่มไม้นั้น ผมกระหน่ำพาดไม้ลงแบบไม่ยั้ง จนพุ่มไม้นั้นแหวกกระจายใบไม้หลุดร่วงเหลือแต่กิ่ง เงียบเหมือนเดิม แต่คราวนี้พุ่มไม้หยุดเขย่า ผมเดินเข้าไปใช้มือแหวกดูว่ามีอะไรอยู่แถวนั้นหรือไม่

Advertisement

Advertisement

โอ้! มีขาติดเท้าคู่หนึ่ง ยืนอยู่หยังพุ่มไม้ ลักษณะคือมีช่วงน่อง ตาตุ่ม และเท้าแค่นั้น ผมตกใจสร่างเมาทันที แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดว่าจะทำยังไงต่อไป เท้าคู่นั้นก็กระโดดข้ามพุ่มไม้วิ่งมาทางผม ผมตัดสินใจวิ่งลุยน้ำที่กัดเซาะผ่านทางจนขาด ขึ้นไปอีกฝั่งทันที เมื่อผมข้ามพ้นทางถนนที่ขาดได้ ผมก็หันหลังกลับมาดู ปรากฏว่า เท้าคู่นั้น วิ่งบนน้ำตามผมมาไม่หยุด ผมจึงวิ่งต่อไปจนสุดแรง ปากก็ร้องตะโกนโหวกเหวก ไปตลอดทาง ผมวิ่งลืมเหนื่อยมาจนถึงออฟฟิศ ก็เจอพี่ยาม ซึ่งนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าออฟฟิศพอดี ยังไม่ทันได้คุยอะไร พี่ยามก็วิ่งเข้าไปในออฟฟิศทันที ผมจึงต้องใช้แรงเฮือกสุดท้ายวิ่งตามแกเข้าไป แกมองหน้าผมพร้อมบอกว่า มีเท้าคู่หนึ่งวิ่งตามผมมาติดๆ ผมก็บอกว่า ใช่เลย ไม่อย่างนั้นผมไม่วิ่งมาจนหอบอย่างนี้หรอก ผมกับพี่ยาม ค่อยๆแย้มประตูออฟฟิศออกดู ว่าเท้าคู่นั้นมันยังอยู่ไหม เมื่อเปิดประตูออกไปก็เจอเท้าคู่นั้น กระโดดไปกระโดดมาอยู่หน้าออฟฟิศ ซึ่งหน้าออฟฟิศมีไฟสว่างมาก จนทำให้เห็นเท้าคู่นั้นได้ชัดเจน ผมกับพี่ยามปิดประตู ยกมือพนม ท่องบทสวดกันประสานเสียงจนฟังไม่รู้เรื่อง

ผมกับพี่ยาม นั่งพนมมือท่องบทสวดได้สักพัก แม้จะท่องผิดๆถูกๆ แต่มันได้ผล เท้าคู่นั้นหายไปแล้ว ผมกับพี่ยามจึงนั่งถามกันไปถามกันมาว่ามันคืออะไร ที่นี่เคยมีประวิติอะไรบ้าง แต่พี่ยามก็ไม่รู้เหมือนกัน และคืนนั้นผมก็ตัดสินใจนอนที่ออฟฟิศจนถึงเช้า

เมื่อถึงตอนเช้า ผมเล่าให้พนักงานกะตอนเช้าฟังทุกคน ทุกคนบอกว่าไม่มีใครเคยเจอ แต่มีคนหนึ่ง ทำหน้าแปลกๆ ผมจึงล็อกตัวไว้สอบถาม เมื่อสอบถามพนักงานคนนี้ เขาเล่าให้ฟังว่า เขาก็ไม่รู้นะ ว่าเท้าคู่นั้นคืออะไร และมีประวัติเป็นมายังไง แต่เมื่อคืน เขากลับบ้านไปโดยที่ลืมตอกบัตรเลิกงานออก เขาจึงเวียนกลับมาออฟฟิศเพื่อจะตอกบัตรเลิกงาน แต่เมื่อเขาขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจนเกือบถึงออฟฟิศ เขาก็เห็นเท้าคู่นี้ ที่ผมเห็น วิ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขาตกใจมากแต่ยังครองสติได้  เขาจึงกลับรถและบิดคันเร่งเต็มที่เพื่อหนีเท้าคู่นั้น ทำให้ผมกับพี่ยามรู้ว่า ที่เท้านั้นหายไป ไม่ได้เป็นเพราะพวกผมท่องบทสวด แต่เป็นเพราะเท้าคู่นั้นเปลี่ยนเป้าหมายเป็นพนักงานที่ลืมตอกบัตรเลิกงานคนนี้เอง

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์