ไลฟ์แฮ็ก
รีวิวการจดโน้ตแบบ " Cornell note " จดบันทึกทั้งที ต้องมีประสิทธิภาพ
ในการเรียนที่ต้องมีการจดเลคเชอร์ หรือการทำงานที่ต้องมีการจดบันทึกจดโน้ตต่างๆ เชื่อว่าหลายคนต้องพบปัญหาจดไม่ทัน จดมาแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง จดข้อมูลมากๆ แล้วสับสนมากขึ้นไปอีก ต้องพลาดหรือหลงลืมเนื้อหาสำคัญไปเพราะไม่รู้ว่าจดไว้ตรงไหน ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นกับผู้เขียนมาแล้วทั้งนั้นค่ะ แต่พอได้พบระบบการจดบันทึกที่มีประสิทธิภาพก็ทำให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป วันนี้จึงอยากมาแนะนำเทคนิคการจดบันทึก นั่นคือ การจดโน้ตหรือจดบันทึกแบบ " Cornell note "
" Cornell note " เป็นวิธีการจดบันทึกที่ถูกคิดค้นโดย Walter Pauk ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์การเรียนรู้ประจำมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ [ Cornell University ] วิธีการจดบันทึกนี้จึงได้ชื่อว่า " Cornell note " ตามชื่อมหาวิทยาลัย และวิธีการนี้ได้รับการยอมรับและใช้อย่างแพร่หลาย เพราะมีผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนว่าเป็นวิธีที่ทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Advertisement
Advertisement
วิธีการจดบันทึกแบบ Cornell note
เริ่มต้นด้วยใช้กระดาษ หรือสมุดธรรมดา แบ่งพื้นที่ใน 1 หน้ากระดาษดังนี้
ส่วนบนสุด หรือ หัวกระดาษ : เขียนชื่อหัวข้อที่เราจะจดบันทึก
*ควรระบุวันที่ด้วยหากเป็นการเลคเชอร์หรือจดบันทึกการประชุม
จากนั้นแบ่งกระดาษเป็น 3 ส่วนตามภาพ [ หมายเลข 1,2,3 ] ให้ขีดเส้นแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจน
ในแต่ละส่วนจะมีหน้าที่ของตัวเอง คือ
ส่วนที่ 1 คือ Cue Column
- เป็นส่วนที่เป็นแถบแนวตั้ง อยู่ริมหน้ากระดาษ
- ส่วนนี้จะบันทึกคำที่เป็น Keyword,คำถามสำคัญและสิ่งที่ต้องการเน้น
- ส่วนนี้จะทำให้เรารู้คร่าวๆ ว่าโน้ตหน้านี้บันทึกเรื่องสำคัญๆ อะไรบ้าง
- ทำให้การทบทวนเนื้อหาเป็นไปได้รวดเร็ว ตรงจุด และเป็นระบบ
ส่วนที่ 2 คือ Notes
- เป็นส่วนที่อยู่ตรงกลางที่มีพื้นที่กว้างสุด
- สำหรับบันทึกรายละเอียดของเนื้อหาทั้งหมด
- แนะนำว่าบันทึกเป็นข้อความสั้นๆ ที่เชื่อมโยงกันได้ และเข้าใจง่าย
- อาจใช้สีและสัญลักษณ์ช่วยในการบันทึก
- ไม่จำเป็นต้องบันทึกทุกคำหรือบันทึกเป็นประโยคยาวๆ
Advertisement
Advertisement
ส่วนที่ 3 คือ Summary
- เป็นส่วนที่อยู่ล่างสุดของหน้ากระดาษ
- สำหรับเขียนสรุปเนื้อหาสำคัญไอเดียที่เกิดขึ้น หรือผลการวิเคราะห์เนื้อหาในส่วน Notes
ประสบการณ์การใช้เทคนิคจดบันทึกแบบ " Cornell note "
สำหรับผู้เขียนได้ใช้การจดโน้ตแบบ " Cornell note " ทั้งในการเรียนและการทำงาน พบว่ามีประโยชน์มาก ทำให้การบันทึกมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริงๆ ซึ่งช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่ชินกับหลักการที่กำหนดมา แต่พอได้ใช้บ่อย ๆ ก็รู้สึกว่าหลักการนี้ทำให้การจดโน้ตของเราง่ายและเป็นระบบขึ้น นอกจากนี้ก็มีประโยชน์อื่นๆที่ได้รับจากการจดบันทึกแบบ Cornell note ที่ได้รวบรวมมาจากการใช้งานจริง
- ช่วยให้การจดบันทึกเป็นระบบ เป็นหมวดหมู่ สะดวกและง่ายต่อการทบทวน
- สามารถโฟกัสใจความสำคัญของเนื้อหาได้ จากการที่เราเขียน keyword ไว้ที่ clue column
- การเขียนสรุปในส่วน summary ช่วยฝึกการวิเคราะห์หา main idea จากเนื้อหาที่ได้บันทึก
- ทำให้มองเห็นภาพรวมของเนื้อหา เพราะทุกอย่างอยู่ในกระดาษ 1 แผ่น
Advertisement
Advertisement
ตัวอย่างการจดบันทึกด้วยวิธี " Cornell note "
ภาพข้างล่างนี้ ผู้เขียนได้สรุปย่อเนื้อหาของบทความ " วิธีสังเกต "ไฝ" หรือ "มะเร็งผิวหนัง" กันนะ? " ในรูปแบบของ Cornell note มาเป็นตัวอย่างให้ได้ดูเพื่อจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นนะคะ
หวังว่าจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้นะคะ :)
แนะนำบทความอื่นๆจากผู้เขียนที่ช่วยเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Credit
- ภาพปก โดย Ann Poan จาก pexels.com
- ภาพประกอบ 1 โดย Greta Hoffman จาก pexels.com
- ภาพประกอบ 2,3,4 จาก 287.Write [ผู้เขียน]
- ที่มาของข้อมูล : อ้างอิง1, อ้างอิง2
อัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
ความคิดเห็น