อื่นๆ

ปากดีที่ศาลปลัดขิก

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ปากดีที่ศาลปลัดขิก

ภาพโดย Pete Linforth จาก Pixabay

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเอามาเล่าสักเท่าไหร่ แต่จะเก็บไว้ไม่เล่าให้ใครฟังมันก็น่าเสียดาย ฉันเลยตัดสินใจเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนในเรื่องการพูด ว่าสิ่งไหนควรพูดไม่ควรพูด และที่สำคัญควรคิดก่อนที่จะพูด เพราะเมื่อเราพูดออกไปแล้ว คำพูดบางคำนั้นอาจจะกลับมาทำร้ายเรา หรือสร้างความอับอายให้แก่ตัวเราก็ได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตี่งแต่สมัยสาวๆ ตอนนั้นฉันกับสารินเพื่อนสนิท คิดจะร่วมลงทุนขายของด้วยกัน แต่เราไม่ได้ตั้งร้านขายตามตลาด หรือถนนหนทางหรอก เพราะบ้านของเราสองคนอยู่ติดกับแม่น้ำ เราเลยคิดที่จะพายเรือขายของกัน ตอนนั้นของที่เราคิดจะขายคือ ขนมไทย แล้วก็ขนมจีนน้ำยา แต่การลงทุนของฉันกับสารินนั้นมีท่าทีที่จะล้มเหลว เมื่อสิ่งที่เราหวังไม่เป็นดั่งสิ่งที่เราคิดไว้ เราสองพายเรือขายของมาหลายวัน บางวันก็ขายได้ พอได้กำไรคืนบ้าง บางวันก็ขายแทบไม่ได้เลย

Advertisement

Advertisement

เหมือนดั่งเช่นวันนี้ที่ฉันกับสาริน พายเรือกันออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ตอนนี้ก็ปาเข้ามาครึ่งวันเข้าไปแล้ว เรายังขายของยังไม่ได้เลย สารินบ่นมาตลอดทาง

“วันนี้คนมันหายไปไหนกันหมดนะ ทุกวันก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้”

ฉันซึ่งเป็นคนพายเรือก็ได้แต่นั่งฟังเพื่อนบ่น แต่ตอนนั้นฉันก็คิดแบบเดียวกับสารินนะ ว่าทำไมวันนี้คนถึงเงียบจัง เราเลยคุยกันว่าจะลองเปลี่ยนเส้นทางขายของใหม่

เราเปลี่ยนเส้นทางพายเรือไปเรื่อย แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนเรียกซื้อของ ของเราเลยซักคน นี่ก็บ่าย 2 เข้าไปแล้ว ฉันเริ่มเหนื่อยล้าจากการพายเรือ สาเหตุที่ฉันเป็นคนพายเรือ เพราะฉันเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง ไม่เหมือนสารินที่เป็นคนช่างพูดช่างเจรจา ดังนั้นหน้าที่พายเรือจึงเหมาะกับฉันที่สุด ฉันคิดนู้นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ก็ต้องกับสะดุ้งกับเสียงเรียกของสาริน

Advertisement

Advertisement

“มารีๆ แกดูนั่นสิ เขามุงอะไรกัน คนเยอะเชียว” ฉันมองไปตามมือสารินที่ชี้ไปทางศาลปลัดขิกที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่

ฉันได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับศาลนี้มาก็เยอะ แต่ไม่มีโอกาสได้มาเลยสักครั้ง ฉันเห็นสารินที่มีท่าทางตื่นเต้นสนใจ เลยถามเพื่อนว่า

“สาริน แกไม่รู้จักศาลปลัดขิกเหรอ”

สารินส่ายหัวแล้วถามฉันต่อว่า “ท่านศักดิ์สิทธ์มากเลยเหรอ”

“ใช่ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ใครขออะไรได้หมด ยิ่งเรื่องความรักกับค้าขายนะเห็นผลใน 3 วัน 7 วันเลยแหละ” สารินหันมามองหน้าฉัน หลังจากฉันพูดจบ

“แล้วถ้าฉันขอแล้วให้เห็นผลวันนี้ละ แกว่าศาลปลัดขิกนี้จะให้ได้รึเปล่า” ฉันงงๆ กับเพื่อนคนนี้ซะจริงๆ

“แกจะขออะไรสาริน แต่ศาลนี้ขอแล้วต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ หรือที่เขาเรียกว่าการบน” สารินพนมมือยกขึ้นท่วมหัวแล้วพูดว่า

“เจ้าพระคู้น ถ้าวันนี้ลูกขายของหมดลำเรือ ลูกจะให้ท่านเอา 3 ทีเลย”

Advertisement

Advertisement

ฉันถลึงตาใส่สาริน  “เฮ้ย! สารินแกพูดอะไรรู้ตัวหรือเปล่า”

“รู้สิ ก็ถ้าวันนี้เราขายของหมดลำเรือจริงๆ นะ ฉันยอมเอาปลัดขิกแทงของตัวเอง 3 ที เลย ...ฮ่าๆๆ”

การพูดทีเล่นทีจริงของสารินครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ยังไงชอบกล

ในใจฉันก็แอบภาวนาว่าอย่าให้ขายของหมดเลย ฉันพายเรือเลยศาลและมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ พายไปสักพักก็เจอตลาดน้ำที่พ่อค้าแม่ขายจอดเรือเรียงรายเต็มท่าน้ำไปหมด

“เฮ้ยมารี ตลาดน้ำ ทำไมเราไม่รู้ว่ามีตลาดน้ำอยู่ตรงนี้นะ” สารินพูดขึ้นและทำท่ากวักมือกวักไม้ให้ฉันพายเข้าไป ฉันรีบจ้วงฝีพายเข้าไปเทียบท่าอย่างเร่งรีบ

เราสองคนขายไปก็ถามแม่ค้าแถวนั้นไป ว่าตลาดน้ำนี้เปิดเมื่อไหร่ ทำไมเราถึงไม่รู้ข่าว ก็ได้รู้ว่า ตลาดน้ำนี้เปิดได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ ขายเฉพาะ อังคาร ศุกร์ และอาทิตย์ ทัวร์ฝรั่งก็ชอบมาลงทำให้ชาวบ้านแถวนี้เอาผักผลไม้ในสวนมาขายบ้าง ทำกับข้าวขนมนมเนยมาขายบ้าง ทำให้ตลาดดูคึกคักน่าเที่ยว แถมยังไม่เก็บค่าที่ในช่วงแรกด้วย ฉันได้ฟังดังนี้ก็นึกดีใจ เพราะจะได้ไม่ต้องพายเรือขายให้หัวดำหัวแดงดั่งเช่นทุกวัน

ฉันกับสารินขายของกันอย่างสนุกสนานสักพักของก็หมดเกลี้ยงลำเรือ...

ฉันเห็นว่านี่ก็ 5 โมงเย็นเข้าไปแล้ว เลยชวนสารินกลับ แต่เธอก็กำลังคุยจ้อกับพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นอยู่ ครู่หนึ่งเรื่องที่สารินได้บอกกลับศาลปลัดขิกไว้ก็แล่นขึ้นมาบนหัวของฉัน ฉันเริ่มกังวลปนเปกับความกลัวในสิ่งที่สารินได้พูดไว้ แต่ฉันว่าในตอนนั้นเธอคงจะลืมในสิ่งที่เธอพูดไว้ หรือไม่เธออาจจะแอบกังวลใจอยู่เหมือนฉันก็ได้

ขณะที่พายเรือกลับ เราสองคนก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อยตลอดทาง พอพายมาถึงศาล อยู่ดีๆ ฉันกับสารินก็หยุดพูด พร้อมกับมองหน้ากัน เพราะสารินนั่งหันหน้ามาทางฉัน ฉันเลยสังเกตเห็นว่าเธอคงจะนึกถึงสิ่งที่เธอได้พูดไว้ ฉันรีบจ้วงไม้พาย เพื่อเร่งความเร็วของเรือ ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มจะสลัวลงเพื่อบ่งบอกว่าอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ฉันพายเลยศาลมาก็นึกโล่งใจ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อสารินเร่งให้ฉันจ้ำฝีพายให้เร็วขึ้น

“มารีพายเร็วๆ เร็วอีก เร็วกว่านี้อีก”

“ทำไม! มีอะไร!”

สารินหน้าตาดูร้อนรนปนกับความตระหนกตกใจ  “ปลัดขิกตามเรามา”

ตอนนั้นฉันเองก็นึกขำและเผลอหัวเราะออกมา “บ้ารึเปล่าสาริน แกตาฝาดหรือเปล่า ปลัดขิกที่ไหนจะตามเรามานี่เราอยู่บนเรือนะ”

“จริงๆ นะมารี แกลองหันไปดูสิ” เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของสาริน ฉันก็ต้องหันกลับไปมองตามที่เธอบอก

พระเจ้าช่วย สิ่งที่ฉันเห็นคือ ปลัดขิกขนาด 1 คนโอบ กำลังแล่นทวนน้ำตรงเข้ามาที่เรือของเรา ฉันเห็นดังนั้นก็รีบจ้วงฝีพายอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนสารินก็ช่วยเอามือพายอีกแรง

ขณะที่มือฉันก็เอาพายจ้วงสายน้ำอย่างพัลวันแต่สายตาฉันก็ยังคงชำเรืองมองไปยังด้านหลัง ปลัดขิกกวดเราน้ำบานเหมือนดังเรือหางยาวที่ขับตามเรามา ฉันหันไปมองสาริน เธอหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ฉันเองก็จ้วงไม้พายจนทิ้งห่างจากปลัดขิกนั่น และลับสายตาไปในที่สุด

ซึ่งตอนนั้นท้องฟ้าก็มืดสนิท พายมาสักพักก็พายมาถึงบ้านสาริน ฉันกับสารินรีบวิ่งขึ้นบ้านโดยไม่เก็บของขึ้นจากเรือสักอย่าง เราไม่บอกเรื่องนี้กับใครทั้งสิ้น รีบวิ่งขึ้นห้องนอนของสารินปิดประตูล็อกกลอนอย่างแน่นหนา เรานั่งเงียบโดยไม่พูดไม่จากันอยู่พักใหญ่  ตอนนั้นฉันรู้สึกกังวลอึดอัดกับสถานการณ์ที่เงียบสงัด ฉันเลยเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

“สาริน แกจะทำยังไง”

สารินหันมามองหน้าฉันพร้อมกับพูดว่า

“มารี ฉันต้องทำจริงๆ ใช่ไหม ฉันจะทำยังไงดี”

ฉันเดินเข้าไปกอดสารินและไม่ได้ตอบสิ่งที่สารินถาม

ตอนนั้นฉันได้แต่เงียบ ได้แต่ปล่อยให้เธอร้องไห้ ผ่านไปหลายชั่วโมงเหมือนเธอตั้งสติได้ สารินหันมาบอกฉันว่า “ไปแก้บนที่ศาลกัน”

ฉันตกใจในสิ่งที่เธอพูด

“เอาจริงเหรอ แล้วไปตอนนี้เนี่ยนะ” สารินพยักหน้า

ฉันถอนหายใจและก็เดินตามเพื่อนไป สารินเดินไปยืมมอเตอร์ไซด์ของพ่อ และก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่ศาลใต้ต้นไม้ใหญ่ พอมาถึงฉันก็ลงจากรถและหันไปมองหน้าสาริน

“สาแกจะทำจริงๆ เหรอ”

สารินมีสีหน้ากังวลและตอบฉันว่า

“ฉันมีทางเลือกด้วยเหรอมารี ก็แกบอกเองว่าท่านศักดิ์สิทธ์มาก ถ้าฉันไม่ทำฉันจะเป็นยังไง แกดูอย่างเมื่อกี้ที่เราเจอสิ”

ฉันพูดอะไรไม่ออก ฉันมองไปรอบๆ เพื่อสังเกตบริเวณรอบๆ ศาล ศาลนี้มีปลัดขิกอยู่เต็มศาลไปหมด ฉันว่าไม่น่าต่ำกว่า 500 อัน ฉันเดาว่าปลัดขิกพวกนี้น่าจะเป็นของที่ชาวบ้านเอามาแก้บน

บริเวณรอบๆ ศาลก็ดูน่ากลัวมาก ฉันขนลุกซู่ไปทั้งตัว อากาศก็เย็นยะเยือก ฉันเลยหันไปมองสารินที่ยืนนิ่งอยู่หน้ารถ “แกถ้าจะทำก็รีบทำเถอะ เดียวมีคนมา”

สารินเดินไปที่ศาล แล้วบอกให้ฉันยืนรออยู่ที่รถไม่ต้องตามมา สารินเดินเข้าไปสักพักก็เดินออกมา ฉันรีบวิ่งเข้าไปหา

“เป็นยังไงบ้างแก” สารินไม่พูดอะไร บอกแค่เพียง “กลับบ้านกันเถอะ”

ฉันรีบขับรถพาสารินกลับบ้านทันที

หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้ถามอะไรสารินอีก แต่เราสองคนก็ยังคงพายเรือขายของโดยต้องผ่านศาลปลัดขิกทุกวัน และก็ไม่เคยเจออะไรอีกเลย เราสองคนขายของมาได้ 3 เดือนโดยขายหมดทุกวัน ต่อให้ทำไปเยอะแค่ไหนก็ขายหมด จนเรามีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ไม่ต้องพายเรือขายอีก เราขายดีจนทำของออกมาขายไม่ทัน มีคนมารับไปขายต่อบ้าง มีคนมาติดต่อให้ไปออกร้านตามงานบ้าง

จนตอนนี้เรามีกิจการใหญ่โต มีหน้าร้านอยู่หลายที่ ฉันว่าส่วนหนึ่งก็มาจากศาลปลัดขิกที่ทำให้เรามีกิจการที่ใหญ่โตขนาดนี้ เรื่องราวผ่านมาหลายปี ฉันเลยมีโอกาสถามสารินเรื่องของคืนนั้น สารินเล่าให้ฟัง ว่า

“ฉันก็เดินเข้าไปในศาลหยิบปลัดขิกขึ้นมาพนมมือ แล้วก็พูดขึ้นว่า วันนี้ลูกจะมาทำตามในสิ่งที่ลูกได้พูดไว้ และก็ขอให้ลูกขายดิบขายดี มีกิจการใหญ่โตเป็นของตัวเอง และขอให้ลูกตั้งเนื้อตั้งตัวได้ด้วยเทอญ และฉันก็เอาปลัดขิกแทงของฉัน 3 ที และฉันก็เดินออกมา” สารินพูดให้ฉันฟังด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

ฉันไม่แปลกใจเลยที่ทำไมกิจการของเราสองคนเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งคงเป็นคำขอที่สารินขอกับท่านไว้ แต่คิดในทางกลับกันถ้าวันนั้นสารินไม่ทำตามในสิ่งที่ได้พูดกับศาลปลัดขิกไว้ ตอนนี้ฉันและสารินจะเป็นยังไง แค่คิดฉันก็ขนลุกแล้วค่ะ

......................................................................................................

ภาพปกโดย Thomas Budach จาก Pixabay

ภาพประกอบโดย Pete Linforth จากPixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์