อื่นๆ

ผีหัวขาด

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ผีหัวขาด

ผมเป็นคนชนบท บ้านอยู่อำเภอเขาค้อ เมื่อประมาณปี 2535 ได้เข้ามาเรียนในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ถ้าเทียบกับจังหวัดเพชบูรณ์ที่ผมเกิดโดยปกติแล้วผมเป็นคนที่ชอบในเรื่องวิทยาศาสตร์ เชื่อในเรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่กลัวผี ถึงแม้ในขณะเป็นเด็กนักเรียนมัธยม จะเข้าเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เป็นประจำก็ตาม แต่ก็ไม่เคยกลัวผี ประกอบกับพระอาจารย์ที่เคยสอนในขณะนั้นก็เป็นสายฮา เหมือนกับพระพยอม กัลยาโน ที่ไม่สอนเรื่องผีเลย สอนแต่เรื่องคุณธรรมและตลกสนุกสนานซะมากกว่า และเมื่อเข้ามาเรียนในเมืองใหญ่ นักเรียนชาวบ้านชนบทซึ่งมีอาชีพเกษตรกรรมโดยทั่วไปก็ต้องหาจ๊อบพิเศษเพื่อให้มีรายได้พอที่จะใช้จ่ายเพื่อไม่ให้รบกวนทางบ้านมากนัก  โดยในตอนแรกๆ ก็ทำงานบัญชีให้กับสถานประกอบการที่เป็นผับ และร้านคาราโอเกะอยู่ประมาณ 3 ปี ซึ่งทางกลับหอพักจะเดินผ่านส่วนที่เป็นลานประหารชีวิตเก่าในสมัยอยุธยา หรือที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่า ตะแลงแกงเป็นประจำ ซึ่งจะบอกว่าผมก็ไม่เคยเจออะไรเลยนอกจากสาวๆ เพราะแถวนั้นส่วนใหญ่กลายเป็นหอพักนักเรียน นักศึกษาหญิง แทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ก็ไม่ได้น่ากลัว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้สว่างไสว เหมือนในปัจจุบันนี้ก็ตาม ผมก็ไม่เคยเจออะไรเลย แถมยังท้าทายว่า ถ้าเจอผีจะขอหวยให้รวยไปเลย ตะแลงแกง หรือ สถานที่ประหารชีวิตนักโทษในอดีต

Advertisement

Advertisement

จนกระทั่งในปี 2539 ผมได้เรียนจบ ปวช.แล้ว และได้เรียนต่อ ปวส.ในสาขาคอมพิวเตอร์ จึงได้หางานทำเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จนได้ไปทำงานให้กับร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่แห่งหนึ่ง ซึ่งในสมัยนั้นเป็นร้านที่ทันสมัยมาก เป็นร้านอินเตอร์เน็ตแห่งแรกในจังหวัดพิษณุโลก และผมก็ทำงานทุกอย่างของร้านเพราะมีพนักงาน 3 คน ทางร้านไม่ได้ทำแค่อินเตอร์เน็ตคาเฟ่อย่างเดียว แต่ยังทำงานพิมพ์ งานกราฟิคส์ และจำหน่ายติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ผมจึงทำเป็นทุกอย่างเพราะชอบเรื่องคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตัวร้านนั้นเป็นตึก4ชั้น ชั้นล่างแบ่งเป็นสัดส่วนระหว่างส่วนที่เป็นอินเตอร์เน็ต 40 เครื่อง และกั้นกันอีกฟากเป็นที่ทำงานของเพื่อนที่ทำกราฟิคส์ซึ่งดูทันสมัยมาก ชั้นถัดขึ้นไปเป็นเป็นชั้นที่เอาไว้พักผ่อนดูทีวีของพนักงาน ซึ่งทุกคนพักอยู่ที่ในตึกนี้กันทุกคน รวมทั้งผมด้วย เพื่อนสองคนที่ทำงานกราฟิคส์อยู่ด้วยกันชั้นที่3 ส่วนผมอยู่ชั้น4 คนเดียว และแน่นอน ในตอนนั้น ผมก็ยังไม่เชื่อเรื่องผีอยู่ดี แต่แล้ววันหนึ่ง วันที่ผมไม่เคยลืมเลยในชีวิตนี้ วันนั้นหลังจากกลับจากเรียนแล้ว ผมก็มาพัฒนาระบบงานร้านอินเตอร์เน็ตเหมือนอย่างปกติ โดยเจ้าของร้านซึ่งเป็นนักประดิษฐ์ตัวยง ได้ทำเครื่องตั้งเวลาเปิดปิดระบบคอมพิวเตอร์ ระบบสมาชิกเพื่อจำหน่ายให้ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ร้านอื่นที่เราไปติดตั้งให้ โดยผมรับหน้าที่เขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานของตัวคอนโทรลเลอร์  ในวันนั้นด้วยความเหนื่อยล้าจากการเรียนและเริ่มดึกแล้ว เพื่อนก็ขึ้นไปนอนกันหมดแล้ว ด้วยความเหนื่อยและซวยสุดๆทำให้เมื่อเขียนโปรแกรมอยู่เผลอหลับโดยที่เปิดฝากล่องคอนโทรลไว้ มือฟาดไปโดนอุปกรณ์ทำให้ไฟฟ้าช็อตอย่างจัง ตัวร่วงลงไปกองกับพื้นรู้สึกเหมือนตัวเองจะตายให้ได้ ทำอะไรก็ทำไม่ได้ ดิ้นไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่ก็คิดว่ายังรู้สึกตัว แต่ช่วงจังหวะแรกเห็นทุกอย่างเป็นสีขาวหมดเลยในใจก็คิดว่าตัวเองตายแล้ว หรือว่ายังไม่ตายวะ จะร้องให้ใครมาช่วยก็ไม่มีแรงขยับปากประตูร้านก็ยังเปิดอยู่แต่ก็ไม่มีใครผ่านไปผ่านมาเลย ผมทำได้แค่นอนนิ่งๆ นานพอสมควรจนเริ่มขยับตัวได้และในความรู้สึกนั้นรู้สึกดีใจมากที่ตัวเองไม่ตายและนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์หลอนๆ ของผมเลย ภาพตัวอย่างร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่

Advertisement

Advertisement

ในอีกสามวันต่อจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผมก็ยังเขียนโปรแกรมควบคุมเครื่องตัวเก่านี่แหละอยู่เหมือนเดิมซึ่งก็ไกล้จะสำเร็จแล้ว และจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโทรทัศน์ชั้นบนเปิดขึ้น ผมก็นึกว่าเพื่อนลงมาเปิดโทรทัศน์ดูเพราะเมื่อวานดูรายการสารคดีค้างอยู่ตั้งแต่เมื่อวาน ซึ่งพวกเราสนใจกัน ประกอบกับเริ่มดึกมากแล้วเลยกลัวว่าจะหลับแล้วไฟดูดอีก เลยปิดเครื่องแล้วจะขึ้นไปดูโทรทัศน์กับเพื่อน  ปรากฎว่า เมื่อผ่านช่วงบันไดขึ้นไปในชั้นที่เกือบจะสุด ก็หันไปจะคุยกับเพื่อน ปรากฎว่าภาพที่เห็นไม่ใช้เพื่อน(พิมพ์ถึงตอนนี้ขนลุกเลย) เมื่อผมหันไปมองปรากฎว่าเป็นลักษณุผู้ชายผิวดำคล้ำ หุ่นกำยำมาก นุ่งผ้าขาวม้า แต่ไม่มีหัว (ขนลุกอีกครั้ง) ผมมองเห็นอย่างชัดเจนเพราะชั้นนี้ไฟสว่างอยู่ ไม่ได้มึด ด้วยความตกใจ ผมโดดลงมาจากบันไดแล้ววิ่งออกไปนั่งช็อคอยู่หน้าร้านนั่งอยู่จนเช้า จนพระเดินบิณฑบาตรผ่านมากถึงรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไร วันนั้นผมไม่สามารถไปเรียนได้เลย แล้วก็สอบถามคนแถวๆ นั้นได้ความว่า ตัวตึกนี้เดิมทีเป็นบ้านของเศรษฐีเก่าโบราณ แต่ก็ไม่ทราบอะไรมากนัก เมื่อเจ้าของร้านมาผมจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันก็บอกว่าเจอเหตุการณ์แปลกๆ กันทุกคน แต่ไม่เจอจังๆ แบบผม เจ้าของร้านจึงได้ทำบุญบ้านครั้งใหญ่เพื่อเป็นการอุทิตส่วนกุศลให้วิญญาณต่างๆ และผมก็ได้ย้ายไปเช่าบ้านอื่นอยู่ มาทำงานแค่ช่วงบ่ายถึง สี่ทุ่ม ก็กลับ ไม่นอนอยู่ที่ทำงานอีกเลย จบแล้วครับ เป็นยังงัยบ้างครับท่านผู้อ่าน เรื่องนี้ผมไปเล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนแซวผมว่าไหนว่าจะขอหวยให้วะ ไม่เห็นถามเลขให้บ้างเลย อะไรแบบนี้ตลอดเลยครับ และเรื่องสยองหลอนๆ ของผมนั้น มีต่อจากนี้เรื่อยๆ แล้วถ้าว่างเมื่อไหร่ จะมาเล่าให้ทุกท่านฟังในโอกาสต่อไปครับ รับรองหลอนกว่านี้อีกการแต่งกายอย่างคนโบราณ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์